The DioField Chronicle : บทที่ 4-4 ความจริงและความลวงถูกกางแผ่
กองเรือของทัพจักรวรรดิได้เคลื่อนขบวนขึ้นอีกครั้ง ครานี้จักรวรรดิได้บุกทางพื้นที่ตอนใต้และยึดท่าเรือการค้าแดกลันด์ ดยุคเฮนเดที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ต้องเสียพื้นที่ยุทธศาสตร์ให้ฝ่ายจักรวรรดิอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความคลางแคลงว่าทหารของดยุคช่างยกธงขาวได้ว่องไวนัก..
ทัพเรือจักรวรรดิครั้งนี้มีเพียง 30 ลำ น้อยกว่าครั้งบุกยึดท่าเรือเทกกาเรียเกือบเท่าตัวด้วยซ้ำ...
ระหว่างที่เหล่าบลูฟ็อกส์อยู่กันในกองบัญชาการนั้น ชายชราร่างสูงใหญ่ได้ปรากฏตัวขึ้น ไอเซแลร์เห็นชายชราแล้วถึงกับอุทานออกมา
"พ่อ!!"
ชายชราผู้นี้มีนามว่า โซรูอัค นักรบในตำนานที่ยังมีลมหายใจ เขาเป็นบิดาแท้ๆของไอเซแลร์ทั้งยังเป็นอาจารย์ของอันดริอัสและเฟเดรท ย้อนกลับไปในเหตุการณ์ครั้งที่คฤหาสถ์ตระกูลเลสเตอร์ถูกลอบโจมตี องค์ชายสี่เสียชีวิต อันดริอัสและเฟรเดรทหนีตายออกมาซึ่งก็ได้โซรูอัคผู้นี้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเลสเตอร์รับมาดูแลและฝึกสอนการต่อสู้ให้ อัลดริอัสและเฟรเดรทจึงเติบโตมาพร้อมกับอิเซแลร์และกลายมาเป็นสามสหายนับแต่นั้น ในอดีตโซรูอัคเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกแห่ง แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ขาทำให้โซรูอัคต้องเกษียรตัวเองลงและไปใช้ชีวิตเยี่ยงฤาษี (ลุงเขาว่ามายังงั้น) ซึ่งอันดริอัสเตรียมตัวช่วยชั้นดีไว้ให้พร้อมแล้ว
นั่นก็คือมังกรไวเวิร์นที่อันดริอัสจับมาได้ก่อนหน้านี้นั่นเอง และเมื่อไม่ต้องกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บที่ขามาถ่วงไว้ ลุงโซรูอัคก็ได้โอกาสเฉิดฉายอีกครั้ง (ลุงแกโคตรเก่ง เป็นอีกตัวที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว เร็ว แรง อึด ตีดูดเลือดได้อีกต่างหาก)
การยอมแพ้อย่างผิดธรรมชาติของดยุคเฮนเดทำให้อันดริอัสเริ่มสงสัยว่า แท้จริงแล้วดยุคเฮนเดอาจจะเป็นไส้ศึก ในขณะที่เหล่าสภาสูงแบ่งออกเป็นสองฝั่งและมีผู้สนับสนุนอันแข็งแกร่งคือองค์ชายทั้งสอง แต่ดยุคเฮนเดกลับนิ่งเฉยไม่เลือกฝ่ายใด หรือนั่นเพราะผู้สนับสนุนที่แท้จริงของดยุคเฮนเดอาจจะเป็นจักรวรรดิมาตลอด ย้อนกลับไปตอนที่ดยุคเฮนเดชิงผลึกเวทมนตร์ชั้นสูงมาจากขุนโจรฮาดี้ แต่ผลึกเวทนั้นกลับไม่เคยส่งไปถึงเบื้องบน ต่อมาดยุคเฮนเดยังให้บลูฟ็อกส์ออกค้นหาผลึกเวทย์อย่างหนัก และยังทำลายการเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร ทั้งเรื่องผลึกเวทมนตร์และการลดทอนขุมกำลังของฝ่ายสัมพันธมิตรก็ล้วนเป็นสิ่งที่จักรวรรดิต้องการ เรื่องราวทั้งหมดล้วนพอเหมาะพอดี...
แต่นั่นเท่ากับว่า กลุ่มบลูฟ็อกส์กำลังตกอยู่ในอันตราย อันดริอัสวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดนี้ต่อสาวแว่นลอเรน และกำชับไม่ให้บอกใครทั้งสิ้น
ในการประชุมภารกิจ ลอเรนแสดงอาการใจไม่อยู่กับตัวอย่างชัดเจน อันดริอัสจึงเป็นคนชี้แจงแผนด้วยตัวเอง ภารกิจครั้งนี้คือการสกัดกั้นแนวหน้าทัพจักรวรรดิที่จะขึ้นเหนือมา การเตรียมการที่รัดกุมผิดธรรมดาของอันดริอัสครั้งนี้สร้างความสงสัยให้เหล่าหัวหน้าของบลูฟ็อกส์คนอื่นๆ จนเอ่ยปากถาม อันดริอัสไม่อธิบายใดๆ เพียงบอกว่า เรื่องทั้งหมดจะเปิดเผยหลังจบภารกิจนี้
กลุ่มบลูฟ็อกส์สกัดกั้นแนวหน้าฝ่ายจักรวรรดิได้สำเร็จ อิสคาเรียนเห็นเป็นโอกาสจึงเสนอให้ฉวยโอกาสรุกไล่ตาม แต่อันดริอัสแย้งว่าให้เรากลับฐานก่อน เพราะหากเราบุกต่อ บลูฟ็อกส์ทั้งหมดถูกกำจัดสิ้นเป็นแน่เพราะเราจะถูกล้อมในทุกด้าน ทัพจักรวรรดิด้านหนึ่ง และทัพดยุคอีกด้านหนึ่ง
ทุกคนต่างสงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกัน อันดริอัสจึงนำจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งถูกซ่อนไว้โดยคนของดยุค หน้าซองผนึกตราประทับของดยุคเฮนเด เนื้อความกล่าวถึงการนัดประชุมลับระหว่างดยุคกับจักรวรรดิ...
เมื่อความจริงถูกเปิดเผย สมาชิกทุกคนต่างเป็นเดือดเป็นแค้นและเห็นพ้องต้องกันว่า ทางเดียวที่บลูฟ็อกส์จะอยู่รอดต่อไปได้ ต้องกำจัดคนทรยศนี้เท่านั้น
บทที่ 1 เส้นทางของชีวิต
บทที่ 2 ทลายปราการ
บทที่ 3 เถ้าธุลีและเกียรติยศ
บทที่ 4 ความลับที่เก็บไว้อย่างใกล้ชิด
บทที่ 5 ดาราร่วงหล่น เมื่อบลูฟ็อกส์กำจัดดยุคเฮนเด อดีตเจ้านายซึ่งแท้จริงแล้วเป็นกบฏ บลูฟ็อกส์ก็กลายเป็นทัพอิสระที่เข้มแข้งขึ้น แต่ก็ไม่วายต้องเข้าไปพัวพันกับศึกชิงบัลลังค์ระหว่างองค์ชายสองกับองค์ชายสาม เฟเดรทที่ทนไม่ไหวจึงประกาศความจริงที่น่าตกตะลึงให้กับชาวบลูฟ็อกส์ทุกคน ความจริงนี้จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเกาะดิโอฟิลด์ไปตลอดกาล
บทที่ 7 จุดจบและจุดเริ่มต้น (บทสุดท้าย) เฟเดรทโกหกคนทั้งโลกจนได้ขึ้นเป็นราชาสมใจ ทว่าอัลเลเทนที่แตกแยกขัดแย้งรบกันเองมาอย่างยาวนาน ประกอบกับราชาคนใหม่ที่เมื่อขึ้นมามีอำนาจก็ดูจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ด้วยสภาพเช่นนี้จะต้านทานจักรวรรดิอันเกรียงไกรและแม่ทัพใหญ่ผู้ไม่เคยรู้จักความพ่ายแพ้งั้นหรือ? เฟเดรทโกหกคนทั้งโลก แต่ไม่ใช่มีแค่เขาที่โกหก คนที่อยู่กับเรามาตลอดตั้งแต่เริ่ม แต่เรากลับไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย... และเมื่อความจริงทั้งหมดถูกเผยออก ชะตากรรมของโลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล พบกับปัจฉิมบทพงศาวดารแห่งเกาะดิโอฟิลด์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน (จริงๆนานเพราะแปลๆ หยุดๆ) เป็นหนึ่งในฉากจบที่คนรับชมถึงกับต้องสบถออกมา ถ้าไม่ชอบก็เกลียดไปเลย (แต่ผมชอบมากๆ ยกขึ้นหิ้งเลยครับ) ปล. ถ้าใครงงกับฉากจบก็ทักมาครับเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ตอนผมเล่นครั้งแรกก็ถึงกับเหวอ จนต้องไปอ่าน lore เพิ่มถึงได้เข้าใจแบบกระจ่าง |