The DioField Chronicle : บทที่ 5-1 องค์ชายจงเจริญ
23:10:23
หลังจากดยุคเฮนเดตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง กลุ่มบลูฟ็อกส์ได้รายงานเรื่องราวทั้งหมดให้สภาสูง พร้อมทั้งแจ้งว่าดยุคเฮนเดได้จ่ายค่าตอบแทนจากการก่อกบฏด้วยชีวิตแล้ว สภาสูงกล่าวประณามกับการการกระทำโดยพลการนี้ แต่ด้วยความขัดแย้งทางการเมืองที่คับขันขึ้นทุกขณะทำให้ไม่มีใครอยู่ในสถานะที่จะลงโทษอะไรได้ อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าบลูฟ็อกส์ได้ขับไล่ทัพจักรวรรดิไปก่อนหน้าทำให้บลูฟ็อกส์ได้รับการผ่อนผัน...สำหรับตอนนี้
และไม่นานนัก ข่าวที่สะเทือนคนทั้งอาณาจักรก็ได้ถูกป่าวประกาศ...ราชาเรกาลสิ้นพระชนม์แล้ว บัลลังค์กลายเป็นว่างเปล่า
การต่อสู้แย่งชิงระะหว่างองค์ชายสองกับองค์ชายสามยิ่งดุเดือด เริ่มมีการใช้ความรุนแรง เกิดการปะทะกันระหว่างสองฝ่าย เฟเดรทและอันดริอัสปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่ององค์ชายทั้งสอง องค์ชายวิคเตอร์ องค์ชายลำดับที่สองนั้นเป็นคนที่ก้าวร้าวและเย่อหยิ่ง ทั้งยังขี้ระแวงและขี้อิจฉา ส่วนองค์ชายสตาริส องค์ชายลำดับที่สามนั้นเป็นนักฉวยโอกาส และพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเสมอ แต่ก็ไม่มีผู้ใดเลยที่จะมีความสามารถเทียบเท่าองค์ชายใหญ่ไอวานการ์ และเรกาลราชาองค์ก่อนผู้เป็นพ่อ และสิ่งสำคัญที่สุดคือทั้งสองไม่มีผู้ใดมีตราแห่งพรเลย เฟเดรทและอันดริอัสไม่มีทางเลือกนอกจากนึกถึงองค์ชายสี่ขึ้นมา
เฟเดรทกับอันดริอัสเริ่มเกิดความขัดแย้งกันเล็กน้อยเมื่ออันดริอัสเตรียมใช้พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกในการเป็นที่ทดลองเวทมนตร์ยุคใหม่ของฝั่งแผ่นดินใหญ่ แต่เฟเดรทกลับสั่งคนให้ทำเป็นโรงฝึกทหารม้า เฟเดรทมองว่าอาณาจักรอัลเลเทนนั้นมีเวทย์โบราณอยู่แล้ว ทำไมต้องไปศึกษาเวทย์สมัยใหม่ เราควรโฟกัสในสิ่งที่เรามีก่อนสิ อีกอย่างเราก็ยังขาดการฝึกทหารม้าด้วย ส่วนทางอันดริอัสเห็นว่าเวทย์สมัยใหม่นั้นคืออาวุธที่ทั้งฝ่ายจักรวรรดิและฝ่ายสัมพันธมิตรจะนำมาใช้สู้กับเรา อาวุธที่ง่ายในการใช้งานขนาดนี้คงไม่ฉลาดเท่าไรหากไม่เรียนรู้มันเอาไว้ เฟเดรทโต้ว่าเวทย์โบราณนั้นทรงพลังกว่าเยอะ ไม่เหมือนพวกของเล่นที่ไอ้โง่ที่ไหนก็ใช้ได้ อัลเลเทนควรสู้ในแบบของอัลเลเทน อันดริอัสทิ้งทายว่า ความคิดแบบนี้มันเป็นความคิดที่มีเกียรติ แต่นายจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในยุคสมัยที่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆนะ เฟเดรทยังคงโต้เถียงจนอัสดริอัสจะกล่าวบางอย่าง แต่ก็หยุดการสนทนาไว้ตรงนั้น
บลูฟ็อกส์ไดัรับภารกิจจากลอร์ดคิมเบิลให้จัดการกลุ่มทหารรับจ้างที่ก่อหวอดที่เมืองยูลเดนทางฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของลอร์ดคิมเบิล ทุกคนคาดการณ์ว่าทหารรับจ้างกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กับอาร์คบิชอปโจชัวร์ที่ต้องการบั่นทอนอำนาจของลอร์ดคิมเบิล ภารกิจนี้จึงเหมือนเป็นการโจมตีขุมกำลังทางการเมืองกันมากกว่าจะช่วยชาวบ้าน นั่นทำให้เฟเดรทไม่พอใจในตัวองค์ชายทั้งสองที่แย่งชิงกันจนบ้านเมืองเดือดร้อนไปทั่วจนถึงกับสบถออกมา
ภารกิจครั้งนี้อิสคาเรียนเน้นย้ำกับวัลตาควินว่าเราต้องจำกัดการฆ่าฟันให้น้อยที่สุด วัลตาควินตอบกลับสั้นๆ "ฉันไม่สัญญาหรอกนะ" อิสคาเรียนถึงกับตบโต๊ะด้วยความเดือดดาล
ทหารรับจ้างทั้งฝ่ายองค์ชายวิคเตอร์กับองค์ชายสตาริสต่างอ้างชื่อองค์ชายของตนและเข้าประหัตประหารอีกฝ่าย กลายเป็นความเกลียดชังและไร้กฎหมาย อิสคาเรียนพยายามเกลี้ยกล่อมให้ทุกฝ่ายสามัคคีเพื่อร่วมกันต้านทานทัพจักรวรรดิแต่ก็ไร้ผล ท้ายที่สุดบลูฟ็อกส์ก็จำต้องใช้กำลังเพื่อระงับเหตุ
หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ ไม่นานอาณาจักรนี้คงล่มสลายด้วยน้ำมือองค์ชายทั้งสองเป็นแน่ เฟเดรทจึงเรียกสมาชิกบลูฟ็อกส์ทุกคนประชุมและบอกความลับที่ทำให้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี
"ทุกคนรู้จักข้าในนามเฟเดรท เลสเตอร์ไชร์ แต่นามที่แท้จริงของข้าคือ ลาเวนเธีย เชย์แธม องค์ชายลำดับที่สี่ของกษัตริย์เรกาล"
เฟเดรทถอดถุงมือออกเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็น "ตราแห่งพร" บนหลังมือ พร้อมทั้งอธิบายว่าในคืนลอบสังหาร เฟเดรทตัวจริงได้ถูกสังหาร ตนจึงสวมรอยเป็นเฟเดรทเพื่อตบตาทุกคน ข่าวนี้สร้างความแตกตื่นให้กับสมาชิกบลูฟ็อกส์ทุกคนยกเว้นอันดริอัสที่รู้ความจริงทุกอย่าง ทันใดนั้นเอง วัลตาควินได้ลุกขึ้นและเดินออกจากที่ประชุม เธอปฏิเสธที่จะให้การช่วยเหลือเฟเดรทในการขึ้นครองบัลลังค์และถอนตัวออกจากกลุ่มบลูฟ็อกส์ ก่อนจะทิ้งท้ายประโยคหนึ่งกับอินดริอัส
"เธอต้องการเช่นนี้จริงๆหรือ ริอัส..."
บทที่ 1 เส้นทางของชีวิต
บทที่ 2 ทลายปราการ
บทที่ 3 เถ้าธุลีและเกียรติยศ
บทที่ 4 ความลับที่เก็บไว้อย่างใกล้ชิด
บทที่ 5 ดาราร่วงหล่น เมื่อบลูฟ็อกส์กำจัดดยุคเฮนเด อดีตเจ้านายซึ่งแท้จริงแล้วเป็นกบฏ บลูฟ็อกส์ก็กลายเป็นทัพอิสระที่เข้มแข้งขึ้น แต่ก็ไม่วายต้องเข้าไปพัวพันกับศึกชิงบัลลังค์ระหว่างองค์ชายสองกับองค์ชายสาม เฟเดรทที่ทนไม่ไหวจึงประกาศความจริงที่น่าตกตะลึงให้กับชาวบลูฟ็อกส์ทุกคน ความจริงนี้จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเกาะดิโอฟิลด์ไปตลอดกาล
บทที่ 7 จุดจบและจุดเริ่มต้น (บทสุดท้าย) เฟเดรทโกหกคนทั้งโลกจนได้ขึ้นเป็นราชาสมใจ ทว่าอัลเลเทนที่แตกแยกขัดแย้งรบกันเองมาอย่างยาวนาน ประกอบกับราชาคนใหม่ที่เมื่อขึ้นมามีอำนาจก็ดูจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ด้วยสภาพเช่นนี้จะต้านทานจักรวรรดิอันเกรียงไกรและแม่ทัพใหญ่ผู้ไม่เคยรู้จักความพ่ายแพ้งั้นหรือ? เฟเดรทโกหกคนทั้งโลก แต่ไม่ใช่มีแค่เขาที่โกหก คนที่อยู่กับเรามาตลอดตั้งแต่เริ่ม แต่เรากลับไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย... และเมื่อความจริงทั้งหมดถูกเผยออก ชะตากรรมของโลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล พบกับปัจฉิมบทพงศาวดารแห่งเกาะดิโอฟิลด์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน (จริงๆนานเพราะแปลๆ หยุดๆ) เป็นหนึ่งในฉากจบที่คนรับชมถึงกับต้องสบถออกมา ถ้าไม่ชอบก็เกลียดไปเลย (แต่ผมชอบมากๆ ยกขึ้นหิ้งเลยครับ) ปล. ถ้าใครงงกับฉากจบก็ทักมาครับเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ตอนผมเล่นครั้งแรกก็ถึงกับเหวอ จนต้องไปอ่าน lore เพิ่มถึงได้เข้าใจแบบกระจ่าง |