8 ปีต่อมา ณ กลางป่าเขาแห่งหนึ่ง รถม้านิรนามซึ่งโดยสารโดยสาวแว่นผู้หนึ่งควบทะยานผ่านผืนป่า เบื้องหลังมีกองทหารม้าตามไล่ล่า แต่ขณะที่รถม้าของสาวแว่นเสียหลักจนต้องหยุดนิ่ง ระหว่างที่กลุ่มทหารย่างสามขุมมายังสาวแว่นในรถม้านั้นเอง ปรากฏ 3 นักรบลึกลับบุกเข้ามาเข่นฆ่าทหารเหล่านั้น และช่วยเหลือสาวแว่นไว้ได้
3 นักรบได้เปิดเผยตัวว่าเป็นทหารรับจ้างอิสระนาม เฟเดรท เลสเตอร์, ไอเซแลร์ วีแกน, และอันดริอัส รอนดาร์ซัน ทั้งสามรับปากจะช่วยเหลือสาวแว่นฝ่ากองทหารที่เหลือแลกกับรางวัลตอบแทน สาวแว่นจึงมอบวัตถุทรงกลมที่เรียกว่า "ของต้นแบบ" ซึ่งเป็นผลึกเวทมนตร์ที่สามารถเรียกสัตว์อสูร "บาฮามุธ" ออกมาโจมตีได้ ด้วยพลานุภาพนี้เอง ทั้งสามก็สามารถกำจัดกองทหารและช่วยเหลือสาวแว่นหนีออกมาได้สำเร็จ
สาวแว่นได้เปิดเผยตัวว่านางคือ ลอเรน ลัคชอว์ เลขานุการส่วนตัวของลอร์ดวิลเลียม เฮนเด ดยุคของรางวงศ์และสมาชิกผู้สูงศักดิ์ของสภาสูง ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้ หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารองค์ชายสี่เมื่อแปดปีก่อน กษัตริย์ก็ล้มป่วยลง องค์ชายที่เหลือเริ่มมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ เหล่าขุนนางเองก็แบ่งออกเป็นหลายฝ่าย ดยุคเฮนเดเองก็เป็นหนึ่งในขุนนางที่สะสมกองกำลังส่วนตัว สาวแว่นลอเรนจึงชักชวนสามตัวเอกให้เข้าร่วม ทั้งสามเห็นเป็นโอกาสจึงตอบตกลงทันที
กองทหารของดยุคเฮนเด แม้เบื้องหน้าจะเป็นทหารรับจ้างที่รับภารกิจต่างๆจากชาวบ้าน แต่แท้จริงแล้วก็เป็นการสั่งสมกองกำลังและวิจัยอาวุธอย่างลับๆ กองทหารส่วนตัวของลอร์ดเฮนเดนี้นำโดยผู้บัญชาการยุลซิม ยอร์เดน ขุนนางจากตระกูลระดับกลาง หลังจากทั้งสาม (โดยเฉพาะสาวน้อยไอเซอแลร์) ตื่นตาตื่นใจกับเทคโนโลยีอันก้าวหน้าของศูนย์บัญชาการ ผู้บัญชาการยุลซิมก็ได้เข้ามาทักทายทั้งสามเล็กน้อย และให้สาวแว่นแนะนำพื้นที่ต่างๆ ของศูนย์บัญชาการ เพื่อเตรียมพร้อมสู่ภารกิจต่อไป...
The DioField Chroniclee By Duree Yahgob]
บทที่ 1 เส้นทางของชีวิต
บทที่ 2 ทลายปราการ "หลังผู้บัญชาการยุลซิมเสียชีวิต อันดริอัส เฟเดรท อิสคาเรียน และวัลตาควิน ทั้งสี่ร่วมขึ้นมาเป็นผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างในสังกัดดยุคเฮนเด และสถาปณาชื่อกลุ่มว่า "บลูฟ็อกส์" หัวจิ้งจอกทั้งสี่นำพากลุ่มสร้างชื่อเสียงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนมีโอกาสเข้าไปพัวพันกับขั้วอิทธิพลและเปลี่ยนแปลงทิศทางของสงคราม"
บทที่ 3 เถ้าธุลีและเกียรติยศ "หลังความพ่ายแพ้ ณ สมรภูมิเทกกาเรีย องค์ชายใหญ่เสียชีวิตในสนามรบ ทัพจักรวรรดิยึดครองท่าเรือเทกกาเรียไว้ได้ และนอกจากศัตรูจากภายนอกแล้ว ตำแหน่งรัชทายาทที่ว่างลงก็ทำให้เกิดศึกภายในระหว่างสององค์ชายที่เหลือ..."
บทที่ 4 ความลับที่เก็บไว้อย่างใกล้ชิด " ความลับต่างๆก็เริ่มเปิดเผยออกมา บลูฟ็อกส์เริ่มแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ขณะเดียวกันความขัดแย้งทางความคิดของหัวจิ้งจอกทั้ง 4 ก็เริ่มก่อตัว"
บทที่ 5 ดาราร่วงหล่น เมื่อบลูฟ็อกส์กำจัดดยุคเฮนเด อดีตเจ้านายซึ่งแท้จริงแล้วเป็นกบฏ บลูฟ็อกส์ก็กลายเป็นทัพอิสระที่เข้มแข้งขึ้น แต่ก็ไม่วายต้องเข้าไปพัวพันกับศึกชิงบัลลังค์ระหว่างองค์ชายสองกับองค์ชายสาม เฟเดรทที่ทนไม่ไหวจึงประกาศความจริงที่น่าตกตะลึงให้กับชาวบลูฟ็อกส์ทุกคน ความจริงนี้จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเกาะดิโอฟิลด์ไปตลอดกาล
บทที่ 6 อาณาเขตแห่งการปฏิรูป เมื่อจบสงครามภายใน ก็ต้องมาเจอสงครามภายนอกต่อ บลูฟ็อกส์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อมีคนใหม่เข้ามา คนเก่าที่หมดศรัทธาก็เลือกเดินออกไป
บทที่ 7 จุดจบและจุดเริ่มต้น (บทสุดท้าย) เฟเดรทโกหกคนทั้งโลกจนได้ขึ้นเป็นราชาสมใจ ทว่าอัลเลเทนที่แตกแยกขัดแย้งรบกันเองมาอย่างยาวนาน ประกอบกับราชาคนใหม่ที่เมื่อขึ้นมามีอำนาจก็ดูจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ด้วยสภาพเช่นนี้จะต้านทานจักรวรรดิอันเกรียงไกรและแม่ทัพใหญ่ผู้ไม่เคยรู้จักความพ่ายแพ้งั้นหรือ? เฟเดรทโกหกคนทั้งโลก แต่ไม่ใช่มีแค่เขาที่โกหก คนที่อยู่กับเรามาตลอดตั้งแต่เริ่ม แต่เรากลับไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย... และเมื่อความจริงทั้งหมดถูกเผยออก ชะตากรรมของโลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล พบกับปัจฉิมบทพงศาวดารแห่งเกาะดิโอฟิลด์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน (จริงๆนานเพราะแปลๆ หยุดๆ) เป็นหนึ่งในฉากจบที่คนรับชมถึงกับต้องสบถออกมา ถ้าไม่ชอบก็เกลียดไปเลย (แต่ผมชอบมากๆ ยกขึ้นหิ้งเลยครับ) ปล. ถ้าใครงงกับฉากจบก็ทักมาครับเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ตอนผมเล่นครั้งแรกก็ถึงกับเหวอ จนต้องไปอ่าน lore เพิ่มถึงได้เข้าใจแบบกระจ่าง
|