The DioField Chronicle : บทที่ 3-3 เสียงเพรียกจากสุสาน
สถานการณ์ทางการเมืองของอาณาจักรอัลเลเทนแห่งเกาะดิโอฟิลด์ขณะนี้นั้นซับซ้อนวุ่นวายยิ่ง พื้นที่ตอนใต้ของเกาะซึ่งแต่เดิมเป็นเขตอิทธิพลของตระกูลเรดดิทช์ (ตระกูลของวัลตาควิน) แต่เดิมด้วยความห่างไกลจากเขตปกครองตอนกลาง เหล่าตระกูลขุนนางตอนใต้นี้จึงเคยชินกับการหลบเลี่ยงภาษีและการควบคุมของรัฐส่วนกลางโดยปกครองกันเอง แต่ภายหลังโศกนาฏกรรมของตระกูลเรดดิทช์ทำให้ตระกูลล่มสลาย ชนชั้นสูงผู้หนึ่งนามเอนแกรมได้ใช้โอกาสนี้แผ่ขยายอิทธิพลในพื้นที่ตอนใต้ ซ่องสุมกำลังเพื่อต่อต้านรัฐบาลส่วนกลาง โดยเอนแกรมได้ร่วมมือกับซากาไรอา ชายจากสมาคมพ่อค้าแดกแลนส์ผู้ที่เคยทรยศหักหลังตระกูลเรดดิทช์และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการฆ่าล้างตระกูลในครั้งนั้น บลูฟ็อกส์ได้รับภารกิจให้ถอนรากถอนโคนคนกลุ่มนี้
กลุ่มเอนแกรมใช้ห้องฝังศพใต้ดินเป็นฐานซ่องสุมกำลัง ซึ่งห้องฝังศพใต้ดินนี้มีคำร่ำลือว่า มีวิญญาณอาฆาตคอยหลอกหลอนผู้บุกรุก (แต่เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นของวัลตาควินตั้งแต่เล็กๆ) กลุ่มตัวเอกสังหารเหล่าลิ่วล้อตามรายทางจนไปถึงตัวสองผู้บงการ ซากาไรอาได้เตรียมอาวุธลับคือผลึกมนต์อสูรมังกรโครงกระดูกขนาดยักษ์ และใช้เอนแกรมเพื่อถ่วงเวลาให้ตัวเองหนีรอดไปได้ กลุ่มตัวเอกต่อสู้กับมังกรโครงกระดูกอย่างยากลำบาก แต่ในขณะนั้นเอง เสียงหัวเราะอย่างแปลกประหลาดก็ดังขึ้น...
เป็นเสียงหัวเราะของวัลตาควิน เธอยกคทาเวทมนตร์ขึ้นพร้อมร่ายใช้คาถาต้องห้าม...คาถาปลุกชีพศพ
ศพจำนวนมหาศาลในห้องฝังศพใต้ดินแห่งนี้กรูกันเข้าใส่มังกรโครงกระดูก มังกรโครงกระดูกดิ้นรนอย่างหมดทางสู้และถูกดึงกลับสู่ผลึกมนต์อสูร วัลตาควินเดินอย่างช้าๆไปเก็บผลึกนี้ขณะที่ยังคงหัวเราะไม่หยุด ท่ามกลางสายตาแห่งความหวาดกลัวและแตกตื่นของสมาชิกบลูฟ็อกส์ ไม่มีผู้ใดเลยที่จะรับมือกับเหตุการณ์เบื้องหน้าได้ทัน
เฟเดรทกับอิสคาเรียนตั้งสติและยิงคำถามทันที
"เธอคิดว่าจะบอกพวกเราตอนไหนเรื่องพลังนี้ของเธอ"
"ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าใช้เป็นน่ะ แบบว่ามันอยู่ในสายเลือด ใช้ออกมาได้เอง" (แหม...อีตอแหล)
"เธอเองสินะที่เป็นคนปลุกศพโครงกระดูกที่ตระกูลเรดดิทช์?"
"ถ้าไม่ใช่เพราะโครงกระดูกพวกนี้ ฉันก็คงไม่มีโอกาสหนีรอดออกมาขอความช่วยเหลือได้หรอก ใช่มั้ยล่ะ?"
"หมายความว่า เธอฆ่าคนในครอบครัวตัวเองอย่างนั้นเหรอ?"
"ก็ไม่รู้สินะ..." วัลตาควินตอบด้วยหน้าตาใสซื่อ
"เบิ๊ดคำสิเว่า..." อิสคาเรียนกุมขมับด้วยความท้อแท้
ทั้งหมดจำต้องปล่อยวางเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วกลับศูนย์บัญชาการทันที
บทที่ 1 เส้นทางของชีวิต
บทที่ 2 ทลายปราการ
บทที่ 3 เถ้าธุลีและเกียรติยศ
บทที่ 4 ความลับที่เก็บไว้อย่างใกล้ชิด
บทที่ 5 ดาราร่วงหล่น เมื่อบลูฟ็อกส์กำจัดดยุคเฮนเด อดีตเจ้านายซึ่งแท้จริงแล้วเป็นกบฏ บลูฟ็อกส์ก็กลายเป็นทัพอิสระที่เข้มแข้งขึ้น แต่ก็ไม่วายต้องเข้าไปพัวพันกับศึกชิงบัลลังค์ระหว่างองค์ชายสองกับองค์ชายสาม เฟเดรทที่ทนไม่ไหวจึงประกาศความจริงที่น่าตกตะลึงให้กับชาวบลูฟ็อกส์ทุกคน ความจริงนี้จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเกาะดิโอฟิลด์ไปตลอดกาล
บทที่ 7 จุดจบและจุดเริ่มต้น (บทสุดท้าย) เฟเดรทโกหกคนทั้งโลกจนได้ขึ้นเป็นราชาสมใจ ทว่าอัลเลเทนที่แตกแยกขัดแย้งรบกันเองมาอย่างยาวนาน ประกอบกับราชาคนใหม่ที่เมื่อขึ้นมามีอำนาจก็ดูจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ด้วยสภาพเช่นนี้จะต้านทานจักรวรรดิอันเกรียงไกรและแม่ทัพใหญ่ผู้ไม่เคยรู้จักความพ่ายแพ้งั้นหรือ? เฟเดรทโกหกคนทั้งโลก แต่ไม่ใช่มีแค่เขาที่โกหก คนที่อยู่กับเรามาตลอดตั้งแต่เริ่ม แต่เรากลับไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย... และเมื่อความจริงทั้งหมดถูกเผยออก ชะตากรรมของโลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล พบกับปัจฉิมบทพงศาวดารแห่งเกาะดิโอฟิลด์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน (จริงๆนานเพราะแปลๆ หยุดๆ) เป็นหนึ่งในฉากจบที่คนรับชมถึงกับต้องสบถออกมา ถ้าไม่ชอบก็เกลียดไปเลย (แต่ผมชอบมากๆ ยกขึ้นหิ้งเลยครับ) ปล. ถ้าใครงงกับฉากจบก็ทักมาครับเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ตอนผมเล่นครั้งแรกก็ถึงกับเหวอ จนต้องไปอ่าน lore เพิ่มถึงได้เข้าใจแบบกระจ่าง |