The DioField Chronicle : บทที่ 2-1 ผู้เบิกทางความขัดแย้ง
นอกชายฝั่งตะวันออกของเกาะดีโอฟิลด์ กองทัพเรือขนาดใหญ่ของจักรวรรดิโทรเวลท์-โชรเวียนซึ่งเลื่องชื่อเรื่องเทคโนโลยีเวทมนตร์สมัยใหม่ ได้เข้าปิดล้อมท่าเทียบเรือแห่งนี้ กองเรือกว่า 50 ลำ กองทหารกว่า 5,000 นายได้ขึ้นฝั่ง สร้างเป็นภัยคุกคามต่อเกาะดิโอฟิลด์อย่างยิ่ง สภาสูงจึงได้เรียกระดมความช่วยเหลือจากเหล่าขุนนางต่างๆ และเหล่าทหารรับจ้างรวมกว่า 10,000 นายให้ช่วยกันต่อต้าน
ข้อแตกต่างระหว่างเวทย์สมัยใหม่กับเวทย์โบราณคือ เวทย์โบราณซึ่งมีเฉพาะในสายเลือดของชาวเกาะดิโอฟิลด์เท่านั้น จะใช้ "เจด" หรือก็คือผลึกเวทย์เป็นเพียงตัวเร่งปฏิกิริยาในการใช้เวทมนตร์ของตัวเอง ผู้ใช้เวทย์โบราณจึงต้องฝึกฝนทักษะเวทย์ของตัวเองจนชำนาญ และมีแต่ตระกูลใหญ่โตเท่านั้นที่จะมีรากฐานวิชาเวทย์ที่ร้ายกาจ แต่เวทย์ยุคใหม่จะใช้ผลึกเวทย์เป็นต้นกำเนิดพลังงานหลักและดูดกลืนออกมาใช้ ทำให้ใครก็ตามที่มีอุปกรณ์ก็สามารถใช้อาวุธเวทย์ได้โดยที่ไม่ต้องมีพลังเวทย์ในตัวและไม่ต้องฝึกฝน จึงง่ายต่อการนำมาเป็นอาวุธใช้งาน แต่เวทย์ยุคใหม่นี้ก็มีข้อเสียคือจะเป็นการดูดกลืนพลังงานของผลึกเวทย์โดยตรงทำให้ใช้แล้วหมดไป จึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจักรวรรดิที่ถือครองเทคโนโลยีเวทย์สมัยใหม่จึงแผ่ขยายอำนาจได้อย่างรวดเร็ว และต้องการผลึกเวทย์จำนวนมหาศาล
ช่วงเวลานั้นกลุ่มบลูฟ็อกส์ก็สั่งสมกำลังและชื่อเสียงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง สาวน้อยริคเคนแบ็คก็มาเข้าร่วมกลุ่มและฝากตัวเป็นศิษย์ของอิสคาเรียน จนวันหนึ่งกลุ่มได้รับภารกิจจากฝั่งตะวันตกของเกาะเพื่อต่อต้านการรุกรานจากเหล่าอมนุษย์อย่างผิดปกติวิสัย เนื่องจากพวกอนุษย์ก็เป็นเหมือนสัตว์ป่า เพียงอยู่อาศัยในถิ่นของตัวเอง ไม่เคยปรากฏว่ามารุกรานเมืองมนุษย์มาก่อน
กลุ่มตัวเอกได้รับภารกิจกำจัดโจรในดินแดนตอนเหนือ และได้ช่วยเหลือโดโนวาร์ อดีตทหารรักษาพระองค์ โดโนวาร์ตกลงเข้าร่วมกลุ่ม
และในที่สุด หลังการสังหารกลุ่มอมนุษย์ที่บ้าคลั่ง เราก็ได้ค้นพบผู้บงการอยู่เบื้องหลังนั่นคือ ฮาดี้ ซอลเบย์ ผู้นำกลุ่ม "อาดวูล์ฟ" กลุ่มอาชญากรอันร้ายกาจที่มีเครือข่ายเบื้องหลังเป็นปริศนา กระนั้นก็ยังเกิดคำถามขึ้นว่า ฮาดี้ใช้วธีการใดกันแน่ในการควบคุมอมนุษย์เหล่านี้?
ขณะเดียวกัน ห่างไกลออกไปยังเมืองท่าเรือทางชายฝั่งตะวันออก ทัพหลักของราชวงศ์ดิโอฟิลด์กว่า 11,000 นายนำโดยองค์ชายใหญ่อีวานการ์ผู้ซึ่งมี "ตราแห่งพร" บนมือเช่นเดียวกับองค์ชายสี่ ก็พร้อมแล้วที่จะต่อต้านกองทัพจักรวรรดิที่เข้ามารุกราน...
บทที่ 1 เส้นทางของชีวิต
บทที่ 2 ทลายปราการ
บทที่ 3 เถ้าธุลีและเกียรติยศ
บทที่ 4 ความลับที่เก็บไว้อย่างใกล้ชิด
บทที่ 5 ดาราร่วงหล่น เมื่อบลูฟ็อกส์กำจัดดยุคเฮนเด อดีตเจ้านายซึ่งแท้จริงแล้วเป็นกบฏ บลูฟ็อกส์ก็กลายเป็นทัพอิสระที่เข้มแข้งขึ้น แต่ก็ไม่วายต้องเข้าไปพัวพันกับศึกชิงบัลลังค์ระหว่างองค์ชายสองกับองค์ชายสาม เฟเดรทที่ทนไม่ไหวจึงประกาศความจริงที่น่าตกตะลึงให้กับชาวบลูฟ็อกส์ทุกคน ความจริงนี้จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเกาะดิโอฟิลด์ไปตลอดกาล
บทที่ 7 จุดจบและจุดเริ่มต้น (บทสุดท้าย) เฟเดรทโกหกคนทั้งโลกจนได้ขึ้นเป็นราชาสมใจ ทว่าอัลเลเทนที่แตกแยกขัดแย้งรบกันเองมาอย่างยาวนาน ประกอบกับราชาคนใหม่ที่เมื่อขึ้นมามีอำนาจก็ดูจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ด้วยสภาพเช่นนี้จะต้านทานจักรวรรดิอันเกรียงไกรและแม่ทัพใหญ่ผู้ไม่เคยรู้จักความพ่ายแพ้งั้นหรือ? เฟเดรทโกหกคนทั้งโลก แต่ไม่ใช่มีแค่เขาที่โกหก คนที่อยู่กับเรามาตลอดตั้งแต่เริ่ม แต่เรากลับไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย... และเมื่อความจริงทั้งหมดถูกเผยออก ชะตากรรมของโลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล พบกับปัจฉิมบทพงศาวดารแห่งเกาะดิโอฟิลด์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน (จริงๆนานเพราะแปลๆ หยุดๆ) เป็นหนึ่งในฉากจบที่คนรับชมถึงกับต้องสบถออกมา ถ้าไม่ชอบก็เกลียดไปเลย (แต่ผมชอบมากๆ ยกขึ้นหิ้งเลยครับ) ปล. ถ้าใครงงกับฉากจบก็ทักมาครับเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ตอนผมเล่นครั้งแรกก็ถึงกับเหวอ จนต้องไปอ่าน lore เพิ่มถึงได้เข้าใจแบบกระจ่าง |