The DioField Chronicle : บทที่ 4-2 จารีตนิยมและการปฏิวัติ
กว่า 1 เดือนที่อันดริอัสและวัลตาควินเดินทางไปเก็บผลึกเวทมนต์นั้น เฟเดรทและอิสคาเรียนที่ฐานบัญชาการก็ได้พยายามควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ สำหรับการรับมือกับกลุ่มปฏิวัติเรียกร้องประชาธิปไตยนั้น อิสคาเรียนเลือกใช้วิธีเจรจา เขาเข้าพบกับนิโคเดโมและเทรมิน่า ตัวแทนสมาชิกคณะปฏิวัติเพื่อหาหนทางยุติความขัดแย้งด้วยสันติ ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงว่าจะถอยกันคนละก้าว
อิสคาเรียนกลับฐานบัญชาการเพื่อร่วมประชุมภารกิจ ขณะนี้ม็อบเริ่มก่อความไม่สงบ มีการวางเพลิงเผาบ้านเผาเมือง ทำลายข้าวของ ปล้นชิงทรัพย์ ความโกลาหลนี้นำโดยกัลวิน โยฮาโวที่ยุยงปลุกปั่นให้ผู้ประท้วงสร้างสถานการณ์รุนแรง เฟเดรทเสนอให้จัดการด้วยความเด็ดขาด ขณะที่อิสคาเรียนเสนอวิธีระงับเหตุอย่างละมุนละม่อม ทั้งสองถกเถียงกันอย่างหนัก อิสคาเรียนนั้นเห็นด้วยกับวิถีประชาธิปไตย แม้การก่อความไม่สงบจะไม่ถูกต้องแต่นั่นไม่เกี่ยวกับแนวคิดนี้ ส่วนเฟเดรทนั้นมองว่าประชาธิปไตยเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ เป็นวิถีที่มาบ่อนทำลายอำนาจราชวงศ์ ความรุนแรงคือเนื้อแท้ของประชาธิปไตย มีแต่อำนาจกษัตริย์เท่านั้นที่จะนำพาความสงบมาสู่บ้านเมืองได้ กษัตริย์ก็คือคือกษัตริย์ ปุถุชนได้แต่เชื่อฟังราชา ไม่อาจตั้งคำถามใดๆ ความเห็นที่ต่างกันสุดขั้วของทั้งสองไม่อาจหาข้อสรุปได้จึงต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อนและมุ่งไประงับเหตุจลาจล
ในเมือง กัลวินยังคงปลุกปั่นให้คนปล้นชิง เทรมินาพยายามเข้าไปเจรจาแต่ก็ถูกขับไล่ออกมาเนื่องจากแม้เธอจะเข้าร่วมคณะปฏิวัติ แต่ด้วยพื้นเพเป็นลูกพ่อค้าร่ำรวย จึงถูกมองว่าเทรมิน่าไม่เข้าใจหัวอกของชาวบ้านที่ถูกกดขี่ เทรมิน่าพยายามอธิบายว่า ความรุนแรงนั้นไม่อาจแก้ปัญหาใดๆ กัลวินเพียงแอบอ้างประชาธิปไตยเพื่อแสวงหาอำนาจและความร่ำรวยให้ตัวเองเท่านั้น
"นี่ไงล่ะโฉมหน้าที่แท้จริงของประชาธิปไตย การปล้นชิงและความป่าเถื่อน ไม่มีอะไรนอกจากนี้เลย" เฟเดรทกล่าวกับอิสคาเรียน ขณะที่อิสคาเรียนพยายามเกลี้ยกล่อมว่าเขาเพียงแต่ขอเวลาอีกสักนิดเพื่อเจรจายุติความรุนแรงนี้ แต่ก็ไม่วายโดนเฟเดรทตอกกลับมาอีกครั้ง
"ตื่นจากอุดมคติของนายได้แล้ว ที่เห็นนี่มันไม่มีอะไรเลยนอกจากจลาจล"
สุดท้ายเฟเดรทก็สั่งการกองกำลังบลูฟ็อกส์ให้เข้าสลายการชุมนุมโดยที่อิสคาเรียนไม่อาจห้ามปรามได้อีก
บลูฟ็อกส์สามารถยับยั้งการจลาจลและจับกัลวิน หัวหน้าผู้ก่อการได้สำเร็จ แต่ไม่กี่วันจากนั้นกัลวินกลับหายตัวจากคุกไปอย่างลึกลับ ทางด้านของกลุ่มบลูฟ็อกส์ เทรมิน่า หญิงสาวจสาวจากกลุ่มปฏิวัติท้อแท้กับพฤติการณ์ของกลุ่มจึงถอนตัวออกมาและขอเข้าร่วมกับบลูฟ็อกส์ อิสคาเรียนต้อนรับด้วยความยินดี เฟเดรทไม่พอใจนักแต่ก็ไม่ได้ขัดขวางใดๆ
หลายเดือนผ่านไป ในที่สุดอันดริอัสและวัลตาควินก็กลับมา
บทที่ 1 เส้นทางของชีวิต
บทที่ 2 ทลายปราการ
บทที่ 3 เถ้าธุลีและเกียรติยศ
บทที่ 4 ความลับที่เก็บไว้อย่างใกล้ชิด
บทที่ 5 ดาราร่วงหล่น เมื่อบลูฟ็อกส์กำจัดดยุคเฮนเด อดีตเจ้านายซึ่งแท้จริงแล้วเป็นกบฏ บลูฟ็อกส์ก็กลายเป็นทัพอิสระที่เข้มแข้งขึ้น แต่ก็ไม่วายต้องเข้าไปพัวพันกับศึกชิงบัลลังค์ระหว่างองค์ชายสองกับองค์ชายสาม เฟเดรทที่ทนไม่ไหวจึงประกาศความจริงที่น่าตกตะลึงให้กับชาวบลูฟ็อกส์ทุกคน ความจริงนี้จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเกาะดิโอฟิลด์ไปตลอดกาล
บทที่ 7 จุดจบและจุดเริ่มต้น (บทสุดท้าย) เฟเดรทโกหกคนทั้งโลกจนได้ขึ้นเป็นราชาสมใจ ทว่าอัลเลเทนที่แตกแยกขัดแย้งรบกันเองมาอย่างยาวนาน ประกอบกับราชาคนใหม่ที่เมื่อขึ้นมามีอำนาจก็ดูจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ด้วยสภาพเช่นนี้จะต้านทานจักรวรรดิอันเกรียงไกรและแม่ทัพใหญ่ผู้ไม่เคยรู้จักความพ่ายแพ้งั้นหรือ? เฟเดรทโกหกคนทั้งโลก แต่ไม่ใช่มีแค่เขาที่โกหก คนที่อยู่กับเรามาตลอดตั้งแต่เริ่ม แต่เรากลับไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย... และเมื่อความจริงทั้งหมดถูกเผยออก ชะตากรรมของโลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล พบกับปัจฉิมบทพงศาวดารแห่งเกาะดิโอฟิลด์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน (จริงๆนานเพราะแปลๆ หยุดๆ) เป็นหนึ่งในฉากจบที่คนรับชมถึงกับต้องสบถออกมา ถ้าไม่ชอบก็เกลียดไปเลย (แต่ผมชอบมากๆ ยกขึ้นหิ้งเลยครับ) ปล. ถ้าใครงงกับฉากจบก็ทักมาครับเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ตอนผมเล่นครั้งแรกก็ถึงกับเหวอ จนต้องไปอ่าน lore เพิ่มถึงได้เข้าใจแบบกระจ่าง |