Skip to main content

Octopath Traveler 2 [By Duree Yahgob]




Octopath Traveler II ตำนาน 8 นักเดินทางบทใหม่ 8 คน 8 อาชีพ 8 เรื่องราว

(ถ้าเอาตัวอักษรแรกของแต่ละคนมาต่อกัน จะได้เป็นคนว่า Octopath หรือ 8 เส้นทางตามชื่อเกมนั่นเอง)

เนื่องจากความประทับใจจากภาคแรก
ภาคนี้เลยตั้งใจจะเขียนสรุปเนื้อเรื่องแต่ละบท แต่ละตัวละครไปเลย เนื้อเรื่องภาคแรกกับภาคนี้ไม่ต่อกัน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรู้เนื้อเรื่องของภาคแรกก็ได้ครับ แค่อยู่ในจักรวาลเดียวกัน แต่เหตุการณ์น่าจะคนละยุคสมัย และไม่มีกล่าวถึงบุคคลหรือเรื่องราวจากภาคแรกแต่อย่างใด

และแน่นอนว่ามีการสปอยล์อย่างมหาศาล ฉะนั้นผู้ใดที่คิดจะเสพเนื้อเรื่องเองขอให้ปล่อยผ่าน แต่สำหรับคนที่อยากรู้เนื้อเรื่องอย่างเดียวหรืออยากจะรู้ว่า เกมที่เน้นเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร บางคนอาจจะไม่ชอบเล่นเกมเลย บางคนไม่มีโอกาสได้เล่น บางคนก็ไม่ใช่สายเสพเนื้อเรื่อง อาจจะขี้เกียจอ่าน (เนื่องจากเกมเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ) ก็อยากให้ลองอ่านดูครับ ท่านอาจจะมองสิ่งที่เรียกว่า "เกม" แตกต่างจากมุมมองเดิมก็ได้

เกม ก็เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่มอบความบันเทิงไม่ต่างกับภาพยนตร์ หรือหนังสือ แต่อาจจะแตกต่างตรงที่เราไม่ได้เป็นเพียงผู้รับชม แต่เป็นเหมือนผู้เข้าร่วม โดยเฉพาะเกมประเภท RPG ที่เหมือนกับเราแทนตัวเองเข้าไปเป็นตัวละครในเรื่องราวนั้นๆ และขอบอกเลยว่า บางเหตุการณ์ บางเรื่องราว อาจจะประทับในใจมากยิ่งกว่าภาพยนตร์หรือนิยายเรื่องใดๆเลยด้วยซ้ำ

ปล. ย้ำว่าเป็นการสรุปเนื้อเรื่องนะครับ คือยกมาแต่เฉพาะเนื้อเรื่องของแต่ละตัวละคร ไม่ใช่บทสรุปเกมแต่อย่างใด

 

เนื้อเรื่องร่วมของสองนักเดินทาง 4 คู่

บทส่งท้าย การเดินทางสู่รุ่งอรุณ
(Octopath Traveler II Epilogue Journey for the dawn)


 

 

 

 

 

 

 

Osvald V. Vanstein นักเวทผู้คลั่งแค้น
นักวิชาการหนุ่มอัจฉริยะซึ่งชีวิตต้องดิ่งลงเหวเมื่อถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานวางเพลิงฆ่าภรรยาและลูกของตัวเอง
"ฮาร์วี ชายผู้ช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างของข้า จะต้องตายด้วยมือคู่นี้ ข้าสาบาน"
ออสวอล นักเวทผู้ถูกเผาไหม้ด้วยไฟแห่งความแค้น มีความสามารถในการวินิจฉัยผู้คนเพื่อสืบข้อมูลในตอนกลางวัน และความสามารถในการกรรโชกทรัพย์ในตอนกลางคืน

  • บทที่ 1 

    "ศาลตัดสินให้คุณมีความผิดฐานใช้เวทไฟวางเพลิงฆ่าภรรยาและลูกของตัวเอง คุณต้องถูกจำคุกตลอดชีวิตในคุกกลางเกาะที่ไม่เคยมีผู้ใดหนีรอดออกมาได้"

    ผ่านไปกว่า 5 ปีในคุกนรกกลางเกาะร้างที่ว่ากันว่าไม่เคยมีใครแหกคุกออกมาได้ เพราะเส้นทางเดียวที่จะเข้าออกคุกแห่งนี้กับเมืองอื่นได้ คือทะเลที่แม้แต่เรือใหญ่ยังต้องเดินทางถึง 4 วัน และแม้จะหาทางหนีออกจากคุกได้ ก็ต้องเจอกับสภาพอากาศที่พร้อมจะแช่แข็งใครก็ตามที่ก้าวขาออกมา แต่คุกอันห่างไกลและเหน็บหนาวก็ไม่อาจดับเพลิงแค้นของชายผู้นี้ได้ ออสวอลที่ไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้เพราะถูกครอบปากใส่กุญแจ เพียงรอโอกาส ขาดเพียง 3 อย่างเท่านั้นที่จะช่วยเขาแหกคุกนรกนี้ไปได้ คือเสื้อกันหนาว เส้นทางหนี และผู้สมรู้ร่วมคิด และอาศัยความเป็นนักวิชาการเก่า ออสวอลสามารถเอาข้อมูลมาขู่กรรโชกเอาเสื้อกันหนาวจากนักโทษผู้กว้างขวางมาได้ และได้รับความช่วยเหลือจากอีเมอรัล นักโทษอีกคนผู้เก่งในการสืบหาข่าวสาร เสนอตัวช่วยออสวอลแหกคุกหนีไปด้วยกัน และหากุญแจไขที่ครอบปากให้ และเมื่อเวลาที่รอคอยได้มาถึง วันที่เรือของผู้ตรวจการจะมาเพียงเดือนละครั้ง ออสวอลที่อาศัยเส้นทางใต้ดินของคุกจนเกือบจะถึงทางออก แต่ต้องมาเจอหัวหน้าผู้คุมสุดโหดที่มาดักรอ แต่ออสวอลที่ในตอนนี้สามารถใช้เวทย์มนต์ได้แล้ว ไม่มีใครหยุดยั้งเขาได้ ออสวอลกับเพื่อนหนีออกมาได้สำเร็จ

  • บทที่ 2

    แม้ออสวอลกับเพื่อนจะเอาชนะผู้คุมและออกจากเขตคุกมาได้ แต่ก็ต้องหลบหนีเหล่าผู้คุมที่ออกตามล่า แผนที่จะหนีด้วยเรือผู้ตรวจการก็ลำบากแลัวเพราะมีคนไปแจ้ง ออสวอลที่เกือบจนปัญญาก็อาศัยเวทน้ำแข็งสร้างเรือขึ้นมาจากเศษฟาง แต่ระหว่างทางนั้นเองอีเมอรัลเพื่อนผู้หนีมาด้วยกันก็เลือกที่จะแยกตัวออกเพราะไม่มั่นใจว่าเรือน้ำแข็งจะพารอดไปถึงแผ่นดินใหญ่ อีเมอรัลเลือกที่จะกลับไปขโมยเรือผู้ตรวจการแต่สุดท้ายก็ไม่รอด จึงตัดสินใจเผาเรือผู้ตรวจการทิ้ง แต่นั่นกลับสร้างโอกาสให้ออสวอลใช้เรือเล็กออกจากฝั่งได้โดยปลอดภัย และคงไม่มีใครคิดว่ามีออสวอลเพียงคนเดียวที่หนีออกมาโดยไม่ได้อยู่บนเรือผู้ตรวจการนั้น

    แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของออสวอลคือชายที่ชื่อว่า "ฮาร์วี" เพื่อนสนิทผู้ร่วมศึกษาทฤษฎี "เวทมนต์หนึ่งเดียวที่แท้จริง" แต่ด้วยความอิจฉาริษยาที่ออสวอลเด่นเกินไป ทำให้ฮาร์วีแอบวางเพลิงเผาบ้านของออสวอลที่มีลูกเมียอยู่ และโยนความผิดให้ออสวอล เพื่อที่ฮาร์วีจะได้เป็นนักเวทอัจฉริยะเพียงผู้เดียวที่จะได้เข้าถึงเวทหนึ่งเดียวในตำนานนั้น

    ออสวอลจึงออกเดินทางเพื่อการล้างแค้น และจะล้างแค้นสำเร็จหรือไม่ จะต้องพบเจอกับเรื่องราวใด เวทแท้จริงเพียงหนึ่งเดียวคืออะไรกันแน่...

  • บทที่ 3

    ออสวอลกลับมาที่เมืองคอนนิ่งครีก เมืองที่เขาและครอบครัวเคยอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข

    "พ่อกลับมาแล้ว"

    คำพูดที่ลูกสาวมักจะทวงถามเวลาที่เขากลับบ้านบ่อยๆ บัดนี้ออสวอลได้เพียงพูดต่อซากปรักหักพังที่เขาเคยเรียกว่าบ้าน ออสวอลไปที่ห้องทำงานลับเพื่อหาเบาะแส แน่นอนว่างานวิจัยทุกชิ้นของเขาถูกขโมย แต่ในระหว่างที่รำลึกความหลังนั้นเอง หญิงสาวนางหนึ่งได้เข้ามาขัดขวาง คลาริสซ่า อดีตผู้ช่วยของออสวอลนั่นเอง
    หลังจากได้รับเงื่อนงำบางอย่างจากคลาริสซ่าและชาวเมืองรอบๆ ทุกอย่างพุ่งเป้าไปที่ "สเตนเวอร์" หัวหน้าทหารที่ประจำการอยู่ในเมืองนี้

    ออสวอลบุกเข้าไปทวงถามข้อมูลจากสเตนเวอร์ผู้ยอมทำงานสกปรกทุกอย่างเพื่อความร่ำรวย เขาเป็นผู้รับผิดชอบคดีของออสวอลเมื่อ 5 ปีก่อน และคดีดังกล่าวถูกตัดสินและปิดคดีด้วยความรวดเร็วผิดปกติ 5 ปีผ่านไป สเตนเวอร์ไม่รู้ว่าตอนนี้ฮาร์วี่ อดีตสหายของออสวอลตอนนี้อยู่ที่ไหน มีเพียงเบาะแสว่างานวิจัยของออสวอลถูกส่งไปที่เมือง "มอนต์ไวส์" และนั่นคือจุดหมายต่อไปของเขา

    "ความว่างเปล่า ก่อให้เกิดได้เพียงความว่างเปล่า นั่นคือสิ่งที่คุณเคยบอกกับฉัน"
    "และการล้างแค้น มันคือความว่างเปล่า"

    อดีตผู้ช่วยพยายามเตือนสติออสวอล แต่ไม่มีสิ่งใดจะดับเพลิงแค้นของเขาได้ แม้จะรู้ว่าการไปมอนต์ไวส์ในครั้งนี้อาจเป็นกับดักที่สหายเก่าของเขาวางเอาไว้ แต่ออสวอลก็ยังคงเลือกที่จะไป และสาบานว่าจะไม่กลับมาเยี่ยมหลุมศพของลูกเมีย จนกว่าทุกอย่างจะจบสิ้น จนกว่าเพลิงแค้นในอกจะมอดลง

  • บทที่ 4

    ออสวอลมาถึงยังเมืองมอนท์ไวส์ เมืองแห่งการศึกษาที่มีหอสมุดที่ใหญ่โตที่สุดในแผ่นดิน ณ ที่นี้เอง ศาสตราจารย์ฮาร์วีคือศาสตราจารย์ผู้มีชื่อเสียงที่สุดในที่แห่งนี้ ด้วยทฤษฎีธาตุที่ 7 ที่ไม่เคยมีใครค้นพบ

    ออสวอลสืบหาข้อมูลจนพบห้องวิจัยลับของฮาร์วีซึ่งอยู่ใต้ดินของหอสมุดแห่งนี้ ภายในมีการวิจัยลับต้องห้ามมากมาย หนึ่งในนั้นคือไคเมร่า อสูรดัดแปลงที่เกิดจากการหลอมรวมอสูรหลายชนิดเข้าด้วยกันจนเกิดการกลายพันธุ์อันน่าสยดสยอง แต่กองทัพไคเมร่าก็ไม่อาจหยุดความแค้นของชายผู้นี้ได้ ออสวอลเหยียบย่ำซากศพของเหล่าอสูรจนเข้าไปถึงชายผู้ยืนอยู่ด้านใน

    "ยินดีที่ได้พบ ออสวอล เพื่อนรักเพียงหนึ่งเดียวของข้า ชีวิตในคุกสุขสบายดีมั้ย? งานวิจัยของแกที่ฉันขโมยมาทำให้ฉันประสบความสำเร็จจนทุกวันนี้เลยนะ"

    ออสวอลยังคงสุขุมอย่างประหลาด เพียงไถ่ถามอย่างเยือกเย็น

    "แกจะเอางานวิจัยของฉันไปฉันไม่ว่า แต่ทำไมต้องช่วงชิงชีวิตลูกเมียฉันด้วย"

    "ใครบอกล่ะว่าลูกเมียแกตายแล้ว นั่นเป็นเพียงศพปลอม"
    "และฉันขอแสดงความยินดี ภรรยาที่รักของแกอยู่เบื้องหน้าแกแล้ว"

    จบคำ ปรากฏอสูรขนาดยักษ์เดินออกมาพร้อมพลังประหลาดรอบข้าง เป็นพลังที่ออสวอลไม่เคยเห็น

    "ที่.....รัก......" เสียงครวญอันโหยหวนดังลอดมาจากอสูรยักษ์ตนนั้น พร้อมเข้าจู่โจมออสวอลทันที ออสวอลรู้แน่แก่ใจ อสูรยักษ์ตรงหน้าต้องมีความเกี่ยวพันธ์กับริต้า ภรรยาของออสวอลเป็นแน่

    หลังจากหยุดอสูรยักษ์ตนนั้นได้ พลังประหลาดรอบตัวก็รวมตัวเป็นกลุ่มก้อน ออสวอลสัมผัสมันด้วยความตกตะลึง

    "โลกนี้มีธาตุอยู่ 6 ธาตุ ไฟ น้ำ ลม สายฟ้า ความมืด และแสงสว่าง"
    "หรือพลังเบื้องหน้าคือธาตุที่ 7?"
    "ฮาร์วี พลังนี้มันคืออะไรกันแน่"
    "แล้วแกทำอะไรกับริต้า!!!"

    "แกคงประหลาดใจสินะออสวอล ธาตุที่ 7 ที่ฉันกับแกตามหามานานแสนนาน ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากสายเลือดของเมียแก"
    "ริต้า ลูมิน่า"
    "ลูมิน่า สายโลหิตแห่งแสงในตำนาน"
    "และยิ่งแสงสว่างมีมากเท่าใด ก็ยิ่งก่อให้เกิด "เงา" อันดำมืดมากขึ้นเท่านั้น"

    "พลังนี้ คือพลังงานที่ก่อเกิดจากเงาของสายโลหิตแห่งแสงนั่นเอง"

    ยังไม่ทันถึงบทสรุป มีเงาร่างเล็กๆเงาหนึ่งปรากฏออกมาจากด้านนอก
    "คุณ...พ่อ"

    ออสวอลแทบไม่อยากเชื่อสายตา เด็กตรงหน้าคือเอลิน่า คือลูกสาวของเขา....ลูกสาวของเขายังคงมีชีวิตอยู่

    แต่แล้วเอลิน่ากลับวิ่งไปหาฮาร์วีและร้องเรียกคุณพ่อ ก่อนจะมองมาทางออสวอลด้วยสีหน้าประหลาดใจ
    "คุณพ่อ ชายคนนี้เป็นใคร?"
    ...
    "ฮาร์วี แกทำอะไรกับเอลิน่ากันแน่!!!"
    "ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันแค่ดัดแปลงความรู้สึกนึกคิดของเด็กน้อยคนนี้นิดหน่อย เหมือนอย่างที่ฉันทำกับเหล่าอสูรวิจัยนั่นแหละ"
    "และรู้มั้ย ริต้าคือตัวทดลองที่ผิดพลาด แต่ลูกสาวของแกมีสายเลือดแห่งแสงที่เข้มข้นกว่าแม่มันอีก เอลิน่าคือตัวทดลองที่สมบูรณ์แบบ"
    "และด้วยสายโลหิตของลูกสาวแก จะทำให้ข้าไร้ผู้ต้าน"

    กล่าวจบฮาร์วีปิดประตูขวางทางออกด้านหลังก่อนจะจากไป ออสวอลไม่อาจไล่ติดตามต่อไปได้

    "หากทฤษฎีสายโลหิตแห่งแสงคือเป้าหมายของฮาร์วี มันต้องไปยังเมืองนั้นแน่ เมืองที่เป็นต้นกำเนิดของมหาจอมเวทในตำนาน"

    "เอลิน่ายังมีชีวิตอยู่ ข้าไม่จำเป็นต้องล้างแค้นอีกต่อไปแล้ว"
    "ทวงคืนเอลิน่ากลับคืนมา นั่นคือเป้าหมายใหม่ของข้า ข้าสาบาน"

    ไฟแค้นในอกของนักเวทผู้นี้ยังคงไม่มอดดับ แต่ก็เกิดแสงสว่างเล็กๆในอเวจีแห่งจิตใจของเขา บัดนี้เขาไม่ได้เดินทางเพื่อล้างแค้น แต่เดินทางเพื่อปกป้อง ปกป้องครอบครัวที่เหลือเพียงหนึ่งเดียว

  • บทที่ 5 บทสุดท้าย

    ออสวอลเดินทางมาถึงเมืองกราเวล เมืองที่โลงศพของมหาจอมเวทย์ในอดีตหลับไหลอยู่ และมีเหล่าสาวกเดินทางมาสักการะอยู่ไม่ได้ขาด

    อีกด้าน ชั้นใต้ดินภายในวิหารที่มีโลงศพของมหาจอมเวทย์นั้นเอง ฮาร์วีและเอลิน่าได้มาถึง
    "ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง เวลาที่ข้าจะได้ครอบครองเวทแท้จริงหนึ่งเดียวที่ไม่เคยมีใครบรรลุได้"
    "และด้วยคัมภีร์แห่งความตายที่ตกทอดมาจากมหาจอมเวท เมื่อข้าได้สังเวยสายโลหิตแห่งแสงเข้ามาในตัวข้า จะไม่มีใครเทียงเคียงข้าผู้นี้ได้อีกต่อไป"
    ...
    หลังจากรำลึกถึงภาพความหลังกับลูกและภรรยา ออสวอลเรียกสติกลับมาและมุ่งหน้าไปยังวิหารมหาจอมเวท แต่ระหว่างทางนั้นเอง มีมวลพลังงานสีดำบางอย่างแพร่กระจายออกมาจากวิหารนั้น เหล่าสาวกที่เดินทางไปบูชาค่อยๆสูญสิ้นสติ และเข้าจู่โจมออสวอล

    หลังจากสยบเหล่าสาวกได้ ออสวอลพบว่ามีมวลพลังงานสีดำที่จับตัวกลายเป็นผลึกหลุดออกมาจากตัวสาวกเหล่านั้น ผลึกดำนี้เองเป็นผลึกลักษณะเดียวกับที่ฮาร์วีใช้ควบคุมอสูรยักษ์ที่เหมือนจะมีเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของภรรยาเขา
    "อดทนอีกนิดนะลูกพ่อ พ่อกำลังไปช่วยลูกแล้ว"

    ในที่สุดออสวอลก็ได้เผชิญหน้ากับฮาร์วีซึ่งขณะนี้มีมวลพลังงานสีดำห่อหุ้มอยู่รอบตัว เบื้องหน้ายังมีร่างของเด็กสาวนอนสิ้นสติอยู่ ออสวอลไม่คิดถึงสิ่งใด รีบพุ่งเข้าไปยังเด็กสาวทันที
    "เสียใจด้วยนะออสวอล แกมาช้าเกินไป หลังจากนี้ก็จงหายไปพร้อมกับลูกสาวที่แกรักเถอะ!!!"

    ฮาร์วียกฝ่ามือขึ้นมาระเบิดพลังเป็นลำแสงขนาดใหญ่พุ่งไปยังออสวอลที่เข้ามากอดเอเลน่าไว้ หลังจากแสงสว่างวาบพร้อมเสียงระเบิดดังกึกก้อง ในขณะที่บริเวณรอบข้างถูกทำลายจากพลังอันมหาศาล เศษฝุ่นที่คละคลุ้งค่อยๆจางลง ปรากฏร่างของออสวอลที่ยืนอุ้มเอลิน่ากลับยืนอย่างมั่นคง พร้อมด้วยมวลพลังงานสีฟ้าที่ไหวเวียนอยู่รอบกายออสวอล

    "เป็นไปไม่ได้!!! แกต้านทานพลังของสุดยอดเวทหนึ่งเดียวที่แท้จริงได้ยังไง!!!"
    "พลังของแกในตอนนี้คืออะไรกันแน่ อะไรคือแหล่งกำเนิดพลังนี้ที่ข้าไม่เคยเห็น ตอบข้ามา ออสวอล"

    "ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าเพียงแต่คิดอยากจะปกป้องเอลิน่าเท่านั้น..." ออสวอลกล่าวพลางมองดูลูกสาวตัวน้อย ดูเหมือนว่าเอลิน่าในอ้อมกอดของออสวอลยังคงมีชีวิตอยู่แต่ยังไม่ได้สติ ออสวอลค่อยๆวางร่างสาวน้อยลงและจับจ้องไปที่ศัตรูเบื้องหน้า
    "ได้เวลาจบเรื่องนี้แล้ว ฮาร์วี"

    ลำแสงสองสี หนึ่งม่วง หนึ่งฟ้า พุ่งเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง หลังจากการต่อสู้อันดุเดือด ต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บและถอยกันไปคนละทาง
    "ดูเหมือนว่าความสามารถของแกจะดึงพลังออกมาถึงขีดจำกัดได้แค่นี้สินะ ฮาร์วี"

    "ไม่จริง ข้ายังเรียกพลังได้มากกว่านี้อีก!!!"
    "ด้วยพลังของคัมภีร์แห่งความตายและสายโลหิตในตำนาน จงปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา!!!"

    มวลพลังสีม่วงดำรอบตัวฮาร์วีเริ่มไหลเวียนอย่างเข้มข้นขึ้น แต่ช่วงเวลานี้เอง มวลพลังกลับระเบิดเป็นแสงเจิดจ้า หลังแสงนั้นค่อยๆจางลง เบื้องหน้าออสวอลกลับเหลือแต่เพียงเศษธุลี

    พลังอันมหาศาลกลับทำลายฮาร์วีจนเหลือแต่เพียงผุยผง สิ้นสุดการต่อสู้อันดุเดือดแต่เพียงเท่านี้...

    "ดูเหมือนว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่ข้าจะได้โต้เถียงกับแกแล้วสินะ...ฮาร์วี"

    ...

    "ดึกมากแล้วเอลิน่า ได้เวลานอนแล้ว"
    เงาร่างของเด็กสาวที่กำลังจดจ่อกับหนังสือคัมภีร์เวทมนต์บนโต๊ะที่เบื้องหน้า ค่อยๆเงยหน้ามาตอบรับ
    "ค่ะ คุณคลาริสซ่า"

    หลังจากเหตุการณ์นั้น เอลิน่ารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในบ้านของท่านหญิงคลาริสซ่า อดีตผู้ช่วยของออสวอล ตอนนี้เอลิน่าดูเหมือนจะสูญเสียความทรงจำส่วนใหญ่ แต่ยังคงจำคลาริสซ่าได้ และจำได้เลือนลางว่าคนที่ตนเองเคยเรัยกว่าพ่อ แท้จริงไม่ใช่พ่อ ส่วนพ่อที่แท้จริงของตัวเองนั้น...
    "คุณพ่อ...คุณอยู่ที่ไหนกันแน่ ทำไมถึงทิ้งหนูไว้คนเดียว..."
    ...
    กลางดึกคืนนั้นหลังจากเอลิน่าหลับไป ออสวอลเดินมายังข้างเตียงของลูกสาวอย่างเงียบเชียบ เขายิ้มก่อนจะค่อยๆเดินออกมา
    "ดูเหมือนว่าลูกจะสนใจศึกษาเวทมนต์เหมือนพ่อสินะ.."
    ...
    "คุณจะไม่พบกับเอลิน่าจริงๆเหรอ ออสวอล"
    "ตอนนี้เอลิน่ากำลังค่อยๆฟื้นตัว มันต้องใช้เวลา นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเอลิน่าแล้ว"
    "แล้วคุณเอาชนะฮาร์วีได้ยังไง"
    "จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจ พลังที่ฉันระเบิดออกมาตอนที่สู้กับฮาร์วี ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร ตอนนั้นฉันคิดแค่อยากปกป้องเอลิน่าเพียงอย่างเดียวจริงๆ"
    "สิ่งนั้นเรียกว่า ความรักของพ่อที่มีต่อลูกยังไงล่ะ ออสวอล"
    ...
    "ขอบใจมากนะคลาริสซ่า ฝากดูแลเอลิน่าด้วย แล้ววันหนึ่งฉันจะกลับมา การเดินทางของฉันยังไม่จบ"

    เงาร่างสูงใหญ่ของออสวอลค่อยๆเลือนหายจากสายตาของคลาริสซ่า ตอนนี้เพลิงแค้นของออสวอลได้ดับลงแล้ว แต่ดูเหมือนยังมีเส้นทางข้างหน้า ที่ยังรอคอยเขาอยู่...

    - บทแห่งนักเวท -
    -จบบริบูรณ์-

 

 

 

 


Castti Florenz หมอหญิงผู้ตามหาความทรงจำ

หมอสมุนไพรสาวซึ่งสูญเสียความทรงจำ ลอยคออยู่บนเรือเล็กๆกลางทะเล ถูกช่วยไว้โดยกัปตันเรือที่ขับผ่านมา ความทรงจำเดียวที่จดจำได้คือวิชาการแพทย์ และจิตวิญญาณที่ต้องการช่วยเหลือผู้อื่น มีความสามารถในการถามข้อมูลจากผู้อื่นในตอนกลางวัน และมอมยาคนให้หลับไหลในตอนกลางคืน

  • บทที่ 1

    ในความทรงจำที่เลือนลางของแคสตี้ เหมือนมีใครสักคนแบกเธอมาบนเรือน้อยก่อนปล่อยเรือลงสู่กลางทะเลพร้อมประโยคสุดท้ายว่า "เธอเป็นคนเดียวที่สามารถหยุดยั้งโรคร้ายนี้ได้"

    แคสตี้รู้สึกตัวอีกทีบนเรือใหญ่แห่งหนึ่งที่ช่วยเธอเอาไว้ และพบว่าตัวเองไม่มีความทรงจำใดๆเหลืออยู่เลย มีเพียงชุดหมอสมุนไพร ล่วมยา บันทึกการรักษา และความรู้ทางการแพทย์ที่บอกเธอว่าเธอคือหมอ

    แคสตี้ลงเรือมาที่หมู่บ้านท่าเรืออย่างงงๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่รู้ว่าตัวเองมีเป้าหมายอะไร แต่ความต้องการช่วยเหลือคนยังคงอยู่ แคสตี้บังเอิญช่วยเด็กคนนึงที่ป่วยเป็นโรคประหลาดในหมู่บ้านนั้น พร้อมกับได้รู้จักหมอสมุนไพรพเนจรชื่อ "มาลายา" ที่อาสาช่วยแคสตี้อีกแรง แต่กลับพบว่าคนในหมู่บ้านรังเกียจชุดหมอสมุนไพรของเธอมาก บอกว่า "ชุดแบบนี้ฉันจำได้ มันชุดพวกหมอสมุนไพรของแอร์ พวกนี้มันฆ่าคนมากกว่ารักษาคน" แคสตี้ที่แทบจะถูกขับไล่ด้วยความรังเกียจกลับพบว่า คนในหมู่บ้านต่างป่วยเป็นโรคประหลาด หลังการสอบถามคนในหมู่บ้านจึงพอระบุได้ว่า ต้นเหตุมาจากน้ำในหมู่บ้านซึ่งไหลมาจากถ้ำด้านนอก แคสตี้จึงอาสาไปสำรวจถ้ำด้วยตัวคนเดียวและพบอสูรติดเชื้อสองตัวซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้ำเป็นพิษ

    แคสตี้มิใช่หมอสมุนไพรธรรมดาทั่วไป แต่เป็นหมอสนามที่ชำนาญในการใช้ขวานและธนู หลังจากจัดการอสูรติดเชื้อทั้งสองลงได้ แคสตี้จึงคิดจะออกเดินทางเพื่อตามหาความทรงจำของตัวเอง แคสตี้จะหาคำตอบได้หรือไม่? กลุ่มหมอสมุนไพรของแอร์คือใคร? โรคที่มีเธอคนเดียวที่สามารถรักษาได้ในความทรงจำอันเลือนลางคืออะไรกันแน่?

  • บทที่ 2-1

    แคสตี้เดินทางตามบันทึกการรักษาของตัวเองจนมาถึงหมู่บ้านไซ หมู่บ้านเล็กๆกลางทะเลทรายซึ่งมีการรบพุ่งระหว่าง 2 กองทัพอยู่ตลอด แคสตี้มายังค่ายทหารประจำหมู่บ้านนี้ซึ่ง "เอดมุนด์" หัวหน้ากองจอมเฮี้ยบกำลังก่นด่าเหล่าทหารที่บาดเจ็บ แคสตี้อาสาช่วยเหลือเหมา หมอประจำหมู่บ้านซึ่งดูเหมือนว่า เหมาจะจำได้ลางๆว่าแคสตี้เคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งในฐานะหัวหน้ากลุ่มหมอรักษาของแอร์ และเคยช่วยรักษาเหล่าทหารบาดเจ็บที่นี่

    แคสตี้ได้รับข่าวว่ามีผู้บาดเจ็บในสมรภูมิรบจึงรีบไป เมื่อไปถึงกลับพบว่าเอดมุนด์และเหล่าทหารไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น แต่เป็นทหารอีกฝ่ายหนึ่งที่บาดเจ็บจากการซุ่มโจมตี แคสตี้จึงเดินทางเข้าไปยังสนามรบซึ่งเอดมุนด์รู้สึกเห็นเป็นที่ขัดตา จึงลอบตามไปหวังจะขัดขวางการไปช่วยเหลือฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อแคสตี้มาถึงเหล่าทหารอีกฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บ ด้วยความเคยชินจึงสั่งให้เอดมุนด์ที่ตามมาเตรียมไฟ เตรียมอุปกรณ์รักษาโดยด่วน เอดมุนด์ที่มึนงงกับสถานการณ์ก็จำใจช่วยเหลืออย่างเลี่ยงไม่ได้ (ประมาณว่า กรูมาขัดขวางเอ็งนะเหย นี่กลายมาเป็นผู้ช่วยหมอซะงั้น) แต่เมื่อช่วยเหลือจนผู้บาดเจ็บปลอดภัย กลับทำให้เอดมุนด์ผู้ซึ่งรู้จักแต่ฆ่าฟัน ย้อนรำลึกถึงสมัยที่เป็นทหารตัวน้อย และนึกย้อนถึงเหตุผลของการมาเป็นทหาร นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ช่วยเหลือใคร สงครามเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นคนที่ชินชากับความตาย แต่ในวันนี้ มือคู่ที่เคยรู้จักแต่พรากชีวิต กลับได้ช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

    หนึ่งในเหล่าทหารที่รอดมาคือกริฟ หัวหน้ากองของทหารอีกฝ่ายซึ่งบอกว่า ยังมีทหารบางส่วนที่สูญหาย และดูเหมือนว่าจะถูกโจมตีโดยสิงโตทะเลทราย แมลงขนาดยักษ์ที่สามารถสร้างทรายดูดได้ แคสตี้และเอดมุนด์ที่ตัดสินใจช่วยเหลือแคสตี้ต่อได้เดินทางมายังปากทางเข้าถ้ำซึ่งเป็นรังของแมลงยักษ์ แต่เอดมุนด์ได้พลาดท่าถูกทรายดูดหายไป แคสตี้จึงต้องบุกเข้าไปยังรังเพื่อช่วยเหลือ สุดทางพบว่าเอดมุนด์และทหารบางส่วนที่ถูกดูดมายังคงปลอดภัยดี แต่อีกไม่นานคงได้กลายเป็นมื้อกลางวันโดยเจ้าของรังแห่งนี้เป็นแน่ แคสตี้จึงขอให้เอดมุนด์ช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บไปยังที่ปลอดภัย ส่วนแคสตี้จะเข้าปะทะกับสิงโตทะเลทรายเอง

    หลังจากจัดการสิงโตทะเลทราย แมลงยักษ์มาได้ แคสตี้และพวกกลับมาที่หมู่บ้านไซ กริฟหัวหน้ากองอีกฝั่งได้มาพบกับเอดมุนด์เพื่อขอบคุณที่ช่วยชีวิต ทั้งสองปรับความเข้าใจกัน กริฟสัญญาว่าจะเจรจาให้พระราชาสงบศึกและยอมรับเอดมุนด์กับพวกเข้าเป็นประชาชนในประเทศ สงครามอันยาวนานระหว่างสองฝ่ายที่มิได้มีความแค้นใดต่อกัน เพียงยืนอยู่คนละฝั่งก็ได้จบลง

    กริฟให้ข้อมูลกับแคสตี้ถึงกลุ่มหมอสมุนไพรของแอร์ ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการฆ่าคนป่วย ดูเหมือนว่าจะมีประโยคหนึ่งที่ทำให้แคสตี้รำลึกถึงความทรงจำบางอย่าง "ฝนสีม่วง" แคสตี้มองเห็นภาพอันเลือนลางเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งมีฝนสีม่วงแปลกประหลาด ผู้คนที่โดนฝนต่างล้มตาย และฝนนี้ดูเหมือนจะเกิดจากฝีมือของหนึ่งในสมาชิกหมอสมุนไพรแอร์ในทีมแคสตี้นี้เอง

    "เธอกำลังทำอะไร รู้ตัวบ้างมั้ย"
    "ข้ากำลังไถ่บาปให้พวกมันยังไงล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ"

    ความทรงจำของแคสตี้ยังคงไม่สมบูรณ์ แคสตี้ตัดสินใจเดินทางต่อไป เพื่อช่วยเหลือผู้คน และเก็บกู้ชิ้นส่วนความทรงจำของตัวเอง

  • บทที่ 2-2 บทหมู่บ้านวินเทอร์บลูม

    วินเทอร์บลูม หมู่บ้านเล็กๆทางตะวันออกเฉียงเหนืออันเหน็บหนาว อีกสถานที่หนึ่งในบันทึกการรักษาของแคสตี้ หลังจากที่เข้ามาถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างเข้ามาห้อมล้อมแคสตี้ด้วยความอบอุ่น ดูเหมือนว่าแคสตี้จะเคยช่วยเหลือคนที่นี่ไว้อย่างมาก

    แคสตี้มายังคฤหาสถ์หลังใหญ่ของหมู่บ้านตามคำแนะนำของชาวเมือง "โรซ่า" ผู้นำหมู่บ้านของที่นี่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนเก่าของแคสตี้ ซึ่งแคสตี้เคยเดินทางมารักษาโรซ่าเมื่อในอดีต โรซ่าที่เจ็บป่วยจากโรคที่รักษาไม่หาย เพียงต้องการยืดอายุออกไปอีกเล็กน้อย เนื่องจากกฏหมายของที่นี่ซึ่งบุตรสามารถสืบทอดมรดกของพ่อแม่ได้เมื่ออายุ 12 ปีบริบูรณ์ แต่ลูกสาวของโรซ่าอายุเพียง 11 ปีเท่านั้น เหลือเวลาอีกไม่นานก่อนที่จะครบวันเกิด แต่หากโรซ่าเป็นอะไรไปก่อนถึงเวลานั้น มรดกทั้งหมดจะตกเป็นของเกร็ก หลานของโรซ่าซึ่งรอคอยจะรับมรดกจากโรซ่าใจจะขาด เที่ยวแวะเวียนมาแช่งให้โรซ่าตายไวๆอยู่เสมอ ๆ

    แคสตี้ด้พบกับมีเลีย ลูกสาวอายุ 11 ปีของโรซ่า ซึ่งพาแคสตี้มายังสวนสมุนไพร ซึ่งเป็นสวนที่แคสตี้เองในอดีตสร้างไว้เพื่อใช้ทำยารักษาอาการของโรซ่าโดยเฉพาะ แคสตี้พยายามใช้ความทรงจำที่มีหาตัวยาเพื่อยืดอายุโรซ่าอย่างเต็มที่

    วันนี้เป็นอีกวันที่เกร็ก หลานชายตัวแสบแวะเวียนมา แต่เกร็กก็ต้องตกใจเมื่อเห็นแคสตี้มาถึง เกร็กจำได้เช่นกันว่าแคสตี้เป็นหมอสมุนไพรที่เก่งกาจ ด้วยความกังวลว่าหากโรซ่าอยู่จนถึงวันที่มีเลียอายุครบ 12 ปี เกร็กจะไม่ได้สมบัติ เกร็กจึงคิดแผนจับมีเลียเป็นตัวประกัน และให้แคสตี้ไปพบที่ร้านเหล้าหลังหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นรังโจร

    แคสตี้ยอมไปพบกับเกร็กซึ่งว่าจ้างโจรกลุ่มหนึ่งมาอารักขา โดยเสนอเงื่อนไขว่า หากแคสตี้ยอมออกจากหมู่บ้านตั้งแต่ตอนนี้ เกร็กจะยอมส่งมีเลียกลับบ้านอย่างปลอดภัย

    แต่หัวหน้าโจรกลับไม่สนใจนายจ้างอย่างเกร็ก เลือกที่จะใช้กำลังหวังสังหารแคสตี้ให้จบๆไป แต่ด้วยประสบการณ์หมอสนามอันแข็งแกร่ง แคสตี้สามารถเอาชนะกลุ่มโจรมาได้ ท่ามกลางความเสียใจของเกร็กที่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป

    แท้จริงแล้วเกร็กไม่ใช่คนไม่ดี เขาก็มีความตั้งใจพัฒนาหมู่บ้านเช่นเดียวกัน แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่นใจร้อน เกร็กพยายามเปลี่ยนแปลงหมู่บ้านด้วยวิธีที่เร่งรีบเกินไปโดยไม่สนใจฟังเสียงของประชาชนชาวไทย เอ้ย ชาววินเทอร์บลูม

    สุดท้ายแคสตี้ก็สามารถยืดอายุโรซ่าจนถึงวันครบอายุ 12 ปีของมีเลีย โรซ่าจากไปในคืนนั้นเองแต่ก็ได้ฝากฝังให้เกร็กและมีเลียร่วมดูแลหมู่บ้านนี้ด้วยกัน เกร็กที่กลับตัวเป็นคนดีแล้วรับคำ แต่หลังจากนั้นเอง มีเลียได้ถามแคสตี้ถึงชายที่ชื่อว่า "ทรูโซ" แคสตี้จำชื่อชายผู้นี้ไม่ได้แม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนว่าทรูโซผู้นี้จะเคยเป็นหมอฝึกหัดที่ดูแลโรซ่าก่อนที่แคสตี้จะมาถึง ในความทรงจำของมีเลีย ทรูโซเป็นคนที่จิตใจดีมาก เขาเป็นเด็กหนุ่มที่สูญเสียน้องสาวจากโรคร้าย จึงมุ่งมั่นอยากจะเป็นหมอรักษาผู้คน แต่มีความเกี่ยวพันกับแคสตี้และกลุ่มหมอสมุนไพรของแอร์อย่างไร แคสตี้ไม่มีความทรงจำในเรื่องนี้เลย

    หลังจากเบาะแสจากทั้งสองหมู่บ้าน แคสตี้ที่ไม่รู้จะไปไหนต่อก็ได้พบกับมาลายา (หมอสมุนไพรที่เคยเจอในบทแรก) แคสตี้ถามมาลายาตรงๆว่า มาลายาจำแคสตี้ได้ชัดๆ ทำไมถึงแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก มาลายาไม่ตอบคำเพียงกล่าวว่า จะไปรอพบที่หมู่บ้าน "ฮีลลีคส์"

    นี่เป็นเพียงเบาะแสเดียวที่มีอยู่ แคสตี้ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเดินทางไปสถานที่นั้น ความทรงจำที่ขาดหายไปของแคสตี้ ซ่อนความจริงอันน่ากลัวอะไรไว้กันแน่...

  • บทที่ 3

    "ยื่นมือเข้าช่วยเหลือใครก็ตามที่ต้องการ"
    คติประจำใจของกลุ่มหมอสมุนไพรของแอร์ และเป็นคติประจำใจของแคสตี้ แม้ความทรงจำจะขาดหาย แต่ประโยคนี้แคสตี้ยังจำได้ขึ้นใจ

    แคสตี้เดินทางมาถึงหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่ง หมู่บ้านที่เคยมีชื่อว่า "ฮีลลีคส์" หมู่บ้านชนบทเล็กๆที่บัดนี้หลงเหลือเพียงซากปรักหักพัง ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดๆ แคสตี้ได้พบกับมาลายาที่กลางหมู่บ้าน ก่อนที่มาลายาจะเล่าอดีตของที่แห่งนี้ให้ฟัง...
    ...
    กาลครั้งหนึ่ง กลุ่มหมอสมุนไพรของแอร์นำโดยแคสตี้ มาลายา แรนดี้ แอนดี้ เอลม่า และม้าประจำกลุ่มอีกหนึ่งตัวยังคงออกเดินทางเพื่อรักษาผู้คนจนมาถึงหมู่บ้านฮีลลีคส์ พร้อมด้วยสมาชิกใหม่ทรูโซ หนุ่มน้อยจากเมืองวินเทอร์บลูมผู้ฝันอยากจะเป็นหมอรักษา ที่ตัดสินใจติดตามเป็นสมาชิกของกลุ่ม นับเป็นน้องเล็กประจำทีม

    กลุ่มของแคสตี้ยังคงทำหน้าที่รักษาผู้คนอย่างดีเช่นเคย จนกระทั่งเคสของเด็กสาวคนหนึ่งในหมู่บ้านที่อาการกำเริบ วิธีเดียวที่จะรักษาได้อย่างรวดเร็วที่สุดคือการใช้ "ดอกซานตาเนโฮ" ดอกไม้ที่ขึ้นอยู่บนยอดเขาหลังหมู่บ้าน แม้จะอันตรายและสมาชิกในกลุ่มต่างคัดค้าน แต่ทรูโซก็ยังคงตัดสินใจขึ้นเขาไปเก็บดอกไม้นี้ แคสตี้จึงติดตามขึ้นไปด้วย และนำดอกไม้มาช่วยรักษาเด็กสาวในหมู่บ้านจนพ้นขีดอันตราย

    ความทรงจำของแคสตี้ที่มีต่อทรูโซ คือเด็กหนุ่มผู้มีหัวใจอันบริสุทธิ์ อุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือผู้คนอย่างไม่ลังเล แต่มีคำกล่าวไว้ว่า ยิ่งผ้าสีขาวเท่าใด ยิ่งถูกย้อมด้วยสีดำได้ง่ายเท่านั้น...
    ...
    หลายวันผ่านไป แคสตี้และพวกออกเดินทางไปยังหมู่บ้านอื่น ทิ้งทรูโซให้อยู่ดูแลหมู่บ้านนี้เพียงลำพัง แต่ในตอนที่กลับมาถึงหมู่บ้านนี้นั่นเอง มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น

    วันนั้นฝนตกลงมาหนาหนัก เหล่าชาวบ้านห้อมล้อมร่างเล็กๆสองร่าง เป็นเด็กน้อยในหมู่บ้านที่แคสตี้และพวกเคยช่วยไว้ในครั้งก่อน แต่ครั้งนี้กลับทอดร่างกลายเป็นศพอย่างแปลกประหลาด เลือดศพเป็นสีดำสะท้อนถึงการถูกพิษบางอย่าง แต่ไม่ทันที่แคสตี้และพวกจะประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหล่าชาวบ้านต่างค่อยๆล้มลงทีละคน ๆ ทุกคนต่างมีอาการเดียวกันคือ เลือดเป็นสีดำสนิท

    กว่าที่กลุ่มหมอสมุนไพรจะรู้ตัว ก็พบว่าต้นเหตุของพิษคือฝน เป็นฝนสีม่วงที่ตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เหล่าหมอสมุนไพรวิ่งตามควันไฟที่น่าจะเป็นต้นเหตุบนยอดเขา จนได้พบกับกองไฟสีม่วง และชายหนุ่มที่คุ้นเคย...เป็นทรูโซนั่นเอง

    "ทรูโซ เธอทำอะไรลงไป รู้ตัวบ้างมั้ย!!"
    "ฉันก็กำลังไถ่บาปให้พวกมันยังไงล่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ"
    "เด็กสองคนในหมู่บ้านตายแล้ว..."
    "ฉันรู้แล้วแหละ ฉันเป็นคนฆ่าเด็กเอง เพื่อล่อให้พวกผู้ใหญ่ออกตามหาจนมารับฝนนี้ยังไงล่ะ"
    "โลกใบนี้มันบิดเบี้ยว มีแต่ความทุกข์ ความทรมาน มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะปลดปล่อยพวกเขาได้ และฉันก็กำลังช่วยเหลือพวกเขายังไงล่ะ หึๆๆ"

    กลุ่มหมอสมุนไพรพยายามเข้าไปหยุดทรูโซ แต่กว่าจะรู้ตัวทุกคนต่างถูกพิษจากฝนสีม่วงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครหยุดยั้งทรูโซที่กำลังเดินจากไปได้ แอนดี้และแรนดี้ติดสินใจใช้ร่างตัวเองเพื่อดับไฟจนทั้งสองเสียชีวิต แคสตี้ที่ทรุดลงมีอาการย่ำแย่ มาลายาแบกร่างของแคสตี้กลับมาที่หมู่บ้านเพียงลำพัง ชาวบ้านที่นี่ตายหมดแล้ว เหลือเพียงม้าประจำกลุ่มซึ่งเอลม่าเสียสละตัวเองนำผ้ามาคลุมจนตัวเองต้องสิ้นใจ มาลายานำแคสตี้ที่สลบไสลขี่ม้าออกมาจากหมู่บ้านอย่างไร้จุดหมาย จนมาถึงท่าเรือแห่งหนึ่ง มาลายานำร่างแคสตี้ขึ้นเรือเล็ก พร้อมปล่อยเรือให้ลอยไปตามน้ำ ก่อนที่มาลายาและม้าจะค่อยๆทรุดลงและเสียชีวิตไป...

    "เธอต้องรอด แคสตี้ เธอเป็นคนเดียวที่สามารถหยุดยั้งโรคร้ายนี้ได้"
    ...
    บัดนี้ความทรงจำของแคสตี้กลับคืนมาโดยสมบูรณ์แล้ว มาลายาที่เห็นตรงหน้า เป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำที่เหลืออยู่เท่านั้น มาลายาตัวจริงสละชีวิตตัวเองเพื่อฝากความหวังไว้ที่แคสตี้ และสิ้นใจไปตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมมาลายาจึงไม่สามารถบอกเล่าเรื่องราวให้แคสตี้ฟังโดยตรงได้ ได้แต่พยายามกระตุ้นความทรงจำให้แคสตี้นึกถึงได้เอง

    แต่เรื่องราวยังไม่จบ ในความทรงจำสุดท้ายของแคสตี้คือเป้าหมายต่อไปของทรูโซ เมืองทิมเบอร์เรนซึ่งกำลังจะจัดงานเฉลิมฉลองในอีกไม่นาน จะมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในเมืองมากมายนับไม่ถ้วน และนั่นคือเหยื่อของทรูโซที่จะ "ไถ่บาป" ผู้คนทั้งหมดในเมือง

    แคสตี้เป็นเพียงความหวังเดียวที่จะหยุดยั้งการสังหารหมู่ครั้งนี้ได้

  • บทที่ 4 บทสุดท้าย

    แคสตี้มาถึงเมืองทิมเบอร์เรน ซึ่งคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่กำลังมาร่วมงานฉลองราชาภิเษกที่กำลังจะเกิดขึ้น ระหว่างที่กำลังร้อนใจอยู่นั้น แคสตี้ได้พบกับหัวหน้ากองเอดมุนด์ที่เคยช่วยเหลือแคสตี้ในหมู่บ้านไซ แคสตี้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เอดมุนด์จึงอาสาพาแคสตี้ไปพบกับเหล่าทหารประจำเมือง และด้วยการช่วยเหลือของหัวหน้ากองกริฟ ซึ่งแคสตี้เคยช่วยชีวิตไว้เช่นกัน เหล่าทหารทั้งเมืองจึงช่วยจัดการเรื่องอพยพชาวเมืองเข้าไปในอาคารที่ปลอดภัย

    ฝนเริ่มตกลงมาแล้ว ดูเหมือนสวรรค์จะเข้าข้างทรูโซไม่น้อย แม้จะช่วยเหลือผู้คนหลบเข้าที่ปลอดภัยได้ แต่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ไอพิษยังคงล่องลอยตามอากาศ หนทางเดียวคือแคสตี้จะต้องหยุดที่ต้นเหตุ ตัวการร้ายน่าจะอยู่ที่ยอดดาดฟ้าของปราสาทเป็นแน่ แคสตี้วิ่งฝ่าฝนสีม่วงขึ้นไปยังจุดกำเนิดควันไฟ ที่นั่นแคสตี้ได้พบกับทรูโซอีกครั้ง ทรูโซที่บัดนี้ความคิดบิดเบี้ยวเกินเยียวยาแล้ว แคสตี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุดยั้งด้วยกำลัง

    "มนุษย์มีชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ทรมาน มีแต่ความเจ็บปวด ข้ากำลังช่วยปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมานนั้น"

    "จริงอยู่ชีวิตมนุษย์นั้นมีแต่ความทุกข์ แต่มนุษย์เราก็มีสิ่งที่เรียกว่า "ความหวัง" มันคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของมนุษย์เดินหน้าต่อไปได้ไม่ว่าจะเจอเรื่องราวเศร้าโศกเสียใจเพียงใด..."
    "ตราบใดที่ยังมีความหวัง มนุษย์เราจะต้องพบกับความสุขในชีวิตอย่างแน่นอน"

    ในที่สุดแคสตี้ก็หยุดยั้งทรูโซผู้บ้าคลั่งได้ แต่ผลลัพธ์จากการรับพิษฝนม่วงเริ่มออกอาการแล้ว แคสตี้ที่สติเริ่มจะเลือนรางมองเห็นมาลายาอีกครั้ง มาลายากระตุ้นเตือนให้แคสตี้นึกถึงการเดินทางทั้งหมดที่ผ่านมา

    "ทุกคนในทีมเสียสละชีวิตและฝากความหวังไว้ที่ฉัน ฉันจะต้องทำให้ได้"
    "พิษนี้ไม่เคยมียารักษา แต่ด้วยประสบการณ์และความรู้ทั้งหมดที่สั่งสมมา...เวลาไม่มีแล้ว ฉันจะทดลองกับตัวเองนี่แหละ..."

    แคสตี้ใช้ความรู้และทักษะทางการผสมยาทั้งหมด รวมทั้งสมุนไพรหายากที่มาลายาทิ้งไว้ให้ก่อนตาย ในที่สุดความพยายามก็บังเกิดผล ความรู้สึกทางร่างกายที่สะท้อนออกมาหลังจากรับยาบอกแคสตี้ว่า รักษาพิษได้แล้ว

    หัวหน้ากองเอดมุนด์ที่ติดตามมาด้วยความเป็นห่วง ก็ได้รับพิษจากฝนม่วงเช่นเดียวกัน แต่ด้วยยารักษาในมือแคสตี้ ในที่สุด ทุกคนในเมืองก็ปลอดภัย

    แคสตี้นั่งพักและหลับลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ในฝันแคสตี้ได้พบกับเหล่ามิตรสหายชาวหมอสมุนไพรของแอร์ ซึ่งทุกคนต่างสละชีวิตของตัวเองฝากความหวังไว้ที่แคสตี้ และแคสตี้ก็ทำได้สำเร็จ

    รุ่งเช้าอีกวัน บรรยากาศอันครึกครื้นกลับมายังเมืองแห่งนี้อีกครั้ง ข่าวความกล้าหาญของหมอสมุนไพรที่ช่วยหยุดยั้งหายนะของเมืองนี้ดังขจรไปไกล นักข่าวมาสัมภาษณ์ด้วยความตื่นเต้น

    "คุณใช่มั้ยหมอสมุนไพรที่ถูกกล่าวถึง ที่ช่วยเหลือคนในเมืองนี้เอาไว้?"
    "ไม่ใช่แค่ "ฉัน" แต่เป็น "เรา" ที่ช่วยเหลือเมืองนี้...
    "เรา คือหมอสมุนไพรของแอร์"

    - บทแห่งหมอสมุนไพร -
    -จบบริบูรณ์

 

 

 


Temenos Mistral หลวงพี่ยอดนักสืบ

นักบวชหนุ่มหน้ามึนที่ขี้ลืมและชอบยืนเหม่อบ่อย ๆ แถมยังมีนิสัยกวนโอ๊ย ชอบพูดแดกดัน ประชดประชันเป็นที่หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วมีพลังจิตสมาธิอันสุดยอด สามารถวิเคราะห์เรื่องราว ไขปริศนาที่ซับซ้อนได้อย่างไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน มีความสามารถในการชี้นำเหล่าลูกแกะที่หลงทาง (ชวนชาวบ้านมาเป็นเบ๊ช่วยสู้) ในตอนกลางวัน และความสามารถในการรีดข้อมูลด้วยกำลังในตอนกลางคืน
เทมินอสเป็นตัวละครที่ข้าพเจ้าจบเนื้อเรื่องเป็นตัวสุดท้าย แต่กลับพบว่าเป็นตัวละครที่มีเนื้อหาเข้มข้นที่สุด และแปลยากที่สุดเช่นกัน เนื่องจากพล็อตเรื่องเป็นแนวสืบสวนสอบสวน เกือบทุกประโยคล้วนเป็นเงื่อนงำที่สืบเนื่องกัน แถมยังมีพวกบทกวีร้อยกรองเชิงประวัติศาสตร์และเทววิทยาที่ต้องสรรหาคำมาแปลให้เหมาะสม เรียกว่าเป็นตัวละครที่แทบแปลข้ามประโยคไม่ได้เลยทีเดียว บวกกับเป็นตัวละครที่กวนตีนมากกกกกกก เนื้อเรื่องทั้งเครียดทั้งขำ (ขำตรงนิสัยแดกดันของเขานี่แหละ) อีกทั้งยังเป็นตัวละครที่เฉลยปมใหญ่ส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องหลัก จึงเป็นอีกตัวละครที่แนะนำว่าต้องอ่านครับ

  • บทที่ 1

    "ในอดีตกาลอันไกลโพ้น ได้เกิดสงครามครั้งใหญ่ของเหล่าเทพ เมื่อหนึ่งในเทพก่อกบฏและสังหารเทพด้วยกันไปมากมาย แต่มีเทพผู้หนึ่งนาม "อัลฟริค ผู้เรียกเพลิง" ได้ลุกขึ้นต่อต้าน "วีเด้" เทพผู้ชั่วร้ายและพูดว่า....ว่าอะไรนี่แหละ ลืม โทษทีนะเด็กๆ"

    เทมินอสผู้ชอบหลงๆลืมๆในการเล่านิทานตำนานโบราณจนเหล่าเด็กๆ ชอบล้อเลียนบ่อยๆ แต่เทมินอสกลับได้รับการแต่งตั้งจากองค์สังฆราชเป็น "เจ้าหน้าที่สอบสวน" ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงส่งไม่น้อยสำหรับนักบวชของภาคีเพลิงศักดิ์สิทธิ์

    (ภาคีเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เป็นศาสนาหลักของจักรวาล Octopath นับถือเทพ 8 องค์ซึ่งเป็นตัวแทนของ 8 อาชีพจาก 8 ตัวละครหลักในเกมนั่นเอง ซึ่งภาคีเพลิงศักดิ์สิทธิ์นับถือเทพอัลฟริคเป็นเทพสูงสุดผู้มอบไฟให้มนุษย์ จนเกิดเป็นศาสนา มีการนับถือเทพ มีโบสถ์ มีนักบวช มีสาวก Theme จะคล้ายๆกับศาสนาคริสต์ในชีวิตจริง)

  • บทที่ 2

    ในค่ำคืนหนึ่ง หมอสมุนไพรหนุ่มวิ่งหนีการตามล่าของชายในชุดคลุม แต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นคมมีดของชายลึกลับผู้นั้นได้ ชายในชุดคลุมใช้มีดสังหารหมอสมุนไพร ก่อนเอ่ยสรรเสริญด้วยพระนามของ "เทพมาร วีเด้"
    ...
    เทมินอสมาถึงเมืองคานัลไบรน์ เมืองท่าที่ประกอบด้วยลำคลองทั่วทั้งเมือง เขาตามหาเบาะแสของคดีฆาตกรรมพระสังฆราช ก่อนที่สังฆราชจะถูกสังหาร ได้เคยพบกับชายผู้หนึ่ง "ลูเชียน นักเทววิทยา" และเบาะแสดังกล่าวได้นำพาทีมินอสมาถึงเมืองแห่งนี้

    เสียงตะโกนจากชาวเมืองดึงดูดเทมินอสให้ตื่นจากภวังค์ เหล่าคานัลไบรน์มุง (คล้ายๆ ไทยมุง) ล้อมรอบสถานที่ซึ่งเกิดคดีฆาตกรรม แต่เหล่าทหารยามก็เข้ามากระชับพื้นที่ไม่ให้ผู้ใดเข้าออกจุดเกิดเหตุ

    เทมินอสซักถามเหล่าชาวเมืองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่กลับสร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าทหารยามพี่พยายามจะมาควบคุมตัวเทมินอสเพราะทำตัวน่าสงสัย ทันใดนั้นเอง อัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งก็เข้ามาขัดขวางทหารยามและรับรองความบริสุทธิ์ของเทมีนอส เทมินอสไม่คิดว่าจะได้พบสหายเก่ารวดเร็วเช่นนี้ เป็นคริกที่ถูกย้ายมาประจำการที่นี่พอดีนั่นเอง

    ทั้งสองแลกเปลี่ยนข้อมูลกันจนได้พบว่า หมอสมุนไพรที่ถูกฆ่าก็เคยพบกับลูเชียนในคืนก่อนหน้านั้น ดูเหมือนว่าเบาะแสทั้งหมดจะชี้เป้าไปที่ลูเชียน แต่เทมินอสกลับรู้สึกว่า เรื่องราวอาจไม่สามัญธรรมดาอย่างที่คิด

    เทมินอสและคริกตัดสินใจไปเผชิญหน้ากับลูเชียนให้รู้แล้วรู้รอด หลังจากทั้งสองใช้กำลังพังประตูบ้านของลูเชียน กลับพบว่าที่อยู่ข้างในบ้านคือร่างของลูเชียนที่กลายเป็นศพไปเสียแล้ว...เทมินอสตัดสินใจตรวจสอบเบาะแสในบ้านหลังนั้น

    ในเวลาเดียวกัน เรือบรรทุกลำใหญ่จอดเทียบท่า เป็นกลุ่มอัศวินศักดิ์สิทธิ์กลุ่มใหญ่นำโดย "กัปตันคัลดีน่า" ผู้นำของกลุ่มอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตามรอยเงื่อนงำมาถึงเมืองนี้เช่นเดียวกัน กลุ่มอัศวินศักดิ์สิทธิ์รับรู้ถึงการมาของเทมินอสที่เมืองนี้ แต่ดูเหมือนคัลดีน่าจะไม่แยแสสนใจ "หมาล่าเนื้อ" เช่นเทมินอสเท่าใดนัก

    กลับมาที่เทมินอสซึ่งพบสมุดบันทึกสามฉบับของลูเชียน ฉบับแรกกล่าวถึงเงื่อนงำบางอย่างที่ลูเชียนจะต้องรีบไปแจ้งกับสังฆราช "รอยสักของผู้พิทักษ์แห่งเพลิง" บันทึกฉบับที่สองกล่าวถึงการบูชาเหล่าเทพทั้ง 8 (เป็นตัวแทนของ 8 อาชีพในจักรวาลนี้) ซึ่งเรียงลำดับเหล่าเทพผู้พ่ายแพ้ให้กับเทพมารวีเด้ตามตำนาน และบันทึกอีกฉบับที่กล่าวว่าการบูชาเทพด้วยการย้อนทวนลำดับตรงข้าม จะกลายเป็นการเรียกคำสาป...แต่เรื่องราวเหล่านี้จะเกี่ยวพันกับเหยื่อที่ถูกฆ่าทั้งสามอย่างไร?

    ผู้ตายคนแรกคือสังฆราช ตัวแทนของเทพเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ผู้พ่ายแพ้แก่เทพมารเป็นองค์สุดท้าย
    ผู้ตายคนที่สองคือหมอสมุนไพร ตัวแทนของเทพแห่งความอารี ผู้พ่ายแพ้แก่เทพมารเป็นองค์ที่ 7
    ผู้ตายคนที่สามคือนักเทววิทยา ตัวแทนของเทพแห่งความรู้ ผู้พ่ายแพ้แก่เทพมารเป็นองค์ที่ 6

    ลำดับการตายคือการย้อนทวน ดังนั้น เป้าหมายต่อไปจะต้องเป็นตัวแทนของเทพีแห่งความงาม นักเต้น อย่างแน่นอน

    เทมินอสและคริก เร่งรีบไปที่ร้านเหล้า ที่ซึ่งกำลังจัดแสดงโชว์ของ "เฮอเมส" นักเต้นผู้โด่งดังประจำเมือง และแล้วเทมินอสก็เปิดโปงคนร้ายผู้ก่อเหตุได้ มิใช่ใครอื่น เป็น "สถาปนิก วาโดส" จากบทแรกนั่นเอง เทมินอสและครีกสามารถขัดขวางการสังหารนักเต้นไว้ได้ แต่คนร้ายก็อาศัยโอกาสหลบหนีทางหน้าต่าง เทมินอสไล่กวดจนคนร้ายหนีขึ้นเรือใหญ่ของอัศวินโบสถ์ และเมื่อหมดทางถอยทั้งสองก็ต้องต่อสู้กันในที่สุด

    และแน่นอนตามมุขโบร่ำโบราณ หลังจากตัวเอกจัดการตัวร้ายแล้ว ก็จะมีตัวประกอบมาเคลมความดีความชอบไปเสมอ กัปตันคัลดีน่าและเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ได้ควบคุมตัวสถาปนิกคนร้ายกลับไป

    หลังการปะทะคารมเล็กน้อย กัปตันคัลดีน่านำคริกจากไปและมอบหมายให้คริกเป็นผู้ควบคุมตัวคนร้ายกลับศูนย์บัญชาการใหญ่ คริกยังขอโอกาสให้เทมินอสมีโอกาสได้สอบสวนคนร้ายด้วยตัวเองหลังจากส่งคนร้ายเข้าคุกหลวง กัปตันคัลดีน่ายอมรับข้อเสนอ

    ดูเหมือนว่า "อ๊อด" บอดี้การ์ดประจำตัวกัปตันคัลดีน่าจะเป็นเพื่อนสนิทกับคริกครั้งยังเป็นเพียงทหารโนเนม วันนี้ทั้งสองได้พบกันอีกครั้ง และทักทายด้วยไมตรีดังเดิม

    บัดนี้ทางเลือกของเทมินอสมีสองเส้นทาง
    หนึ่งคือตามไปสอบสวนสถาปนิกวาโดสที่คุกหลวงในเมืองสตอร์มเฮล
    สองคือตามเบาะแสจากโน้ตของลูเชียนไปยัง "ซากปรักหักพังเฟลซัน (ตะวันร่วงหล่น)" ที่เมืองแคร็กริดจ์

    อีกสิ่งที่ยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ

    "ยอมจำนนต่อตนเองไม่นำพาสู่สนธยาอันเงียบงัน เพื่อแสงสว่างนั้นจักเลือนราง"

    ประโยคสุดท้ายที่คนร้ายทิ้งไว้ก่อนโดนควบคุมตัว ทิ้งเป็นปริศนาที่ยังไม่อาจหาคำอธิบาย แต่ดูเหมือนว่า เรื่องราวจะยังห่างไกลจากตอนจบอีกมากนัก

    ทำไมวาโดสต้องฆ่าคนเหล่านั้น?
    ทำไมต้องเชื่อมโยงเหยื่อเข้ากับเทพทั้งแปด?

    เทมินอสจะต้องหาคำตอบเหล่านี้ให้จงได้...

  • บทที่ 3-1 บทเมืองแคร็กริดจ์

    "ค้นหาซากปรักหักพังเฟลซัน แล้วเจ้าจักได้พบความจริง"
    บันทึกที่หลงเหลือของนักเทววิทยาลูเชียนก่อนสิ้นใจ
    ลูเชียนได้ค้นคว้าเกี่ยวกับ "ผู้พิทักษ์แห่งเพลิง" และสถาปนิกวาโดส ก็เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งเพลิงนี้เอง
    ผู้พิทักษ์แห่งเพลิงคืออะไร?
    อดีตของวาโดสคืออะไรกันแน่?

    คำถามเหล่านี้นำพาเทมินอสมายังหมู่บ้านแคร็กริดจ์ เขาเที่ยวถามถึงซากปรักหักพังเฟลซันจากชาวเมืองแต่ก็ไม่มีผู้ใดยอมตอบ มีเพียงสีหน้าที่บิดเบี้ยวและบอกว่า "ไม่รู้ๆๆๆ" ดูเหมือนชาวบ้านจะไม่ให้การต้อนรับนักบวชจากภาคีเพลิงศักดิ์สิทธิ์อย่างเทมินอสเท่าใดนัก เขาไม่มีทางเลือกนอกจากไปเปิดห้องพักเพื่อตั้งหลักก่อน

    ในคืนนั้นเองกลุ่มชาวบ้านมารวมตัวอย่างน่าสงสัย ดูเหมือนจะพยายามวางแผนขัดขวางไม่ให้เทมินอสเข้าถึงซากปรักหักพังเฟลซันนั้น

    "ยอมจำนนต่อตนเองไม่นำพาสู่สนธยาอันเงียบงัน เพื่อแสงสว่างนั้นจักเลือนราง" เหล่าชาวเมืองต่างเอ่ยประโยคนี้ออกมาพร้อมกัน...
    ...
    5 ปีที่แล้ว

    เทมินอสตื่นขึ้นมาในบ้านหลังจากเสียงเรียกเคาะประตู เป็น "รอย" เพื่อนนักบวชของเขาที่เข้ามาหายามวิกาล
    "ฉันไม่อาจเชื่อถือโบสถ์ได้อีกต่อไป มีเพียงนายเท่านั้น เทมีนอส ที่ฉันสามารถวางใจได้นอกจากองค์สังฆราช"
    "นายคือคนที่ได้รับแต่งตั้งด้วยตัวสังฆราชเอง ฉันหวังว่าจะฝากความลับไว้ที่นายได้"

    รอยกล่าวขึ้นพลางหยิบ "ธนูโลหิตมืด" ให้เทมินอสดู ซึ่งรอยและสังฆราชไปพบระหว่างการตรวจสอบโบสถ์ด้านใน ดูเหมือนว่ามันไม่สมควรจะมีอยู่ และไม่ได้รับอนุญาตให้มีอยู่ รอยพยายามทำลายธนูทิ้งแต่ไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ไม่สามารถสร้างริ้วรอยให้แก่ธนูแม้แต่น้อย รอยทิ้งท้ายไว้ว่าเขาจำเป็นต้องซ่อนตัว และถ้าเขาไม่กลับมา ขอให้เทมินอสรับช่วงภารกิจต่อจากเขา และเชื่อมั่นในตัวสังฆราช

    "โบสถ์มีความลับ ความลับที่เลวร้ายอย่างยิ่ง"
    ...
    อีกครั้งที่เทมินอสตื่นขึ้นมาพร้อมกับความฝันเดิมๆ จนบัดนี้รอยก็ยังคงไม่กลับมา ความลับของโบสถ์ที่ว่าคืออะไรกันแน่? ดูเหมือนสังฆราชจะไม่ได้บอกอะไรให้เทมินอสเลยเพื่อไม่ให้เทมินอสตกอยู่ในอันตราย

    เช้าวันนี้ หญิงสาวผู้หนึ่งนามเรซ่าเข้ามาทักทายเทมินอสว่าเป็นนักบวชจากภาคีเพลิงศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ เรซ่าเป็นนักเดินทางที่ผ่านมา นางขอให้เทมินอสพานางไปส่งนอกเมืองเนื่องจากตามรายทางมีโจรผู้ร้ายชุกชุม

    เมื่อถึงจุดหมาย เรซ่าขอบคุณเทมินอสเป็นการใหญ่ และพยายามแทะโลมเทมินอสด้วยคำพูดกำกวม แต่เรซ่าไม่อาจตบตาเทมินอสได้ เทมินอสรู้ทันทีว่าเรซ่าโกหก นางไม่ใช่นักเดินทางที่ผ่านมาแต่เป็นคนจากหมู่บ้านเอง สัญลักษณ์คือสร้อยคอรูปจันทร์เสี้ยวซึ่งคนในหมู่บ้านแคร็กริดจ์เกือบทุกคนสวมใส่ เรซ่าที่ถูกเปิดโปงเข้าโจมตีเทมินอสในทันที แต่ไม่อาจทำอย่างไรหลวงพี่ผู้นี้ได้

    เรซ่าเปิดเผยว่าตนเองมาจาก "ภาคีเงาจันทรา" และเพียงกระทำตามที่เบื้องบนสั่งมา นั่นคือการปกป้องซากปรักหักพังเฟลซันให้คงเป็นความลับต่อไป แต่ดูเหมือนแท้จริงแล้วเรซ่าไม่ได้สมัครใจทำเช่นนั้น สุดท้ายเรซ่าจึงยินยอมพาเทมินอสไปยังซากปรักหักพังเฟลซันในที่สุด

    "นามที่แท้จริงของมันคือ ซากปรักหักพังคาล"
    "คาล ผู้พิทักษ์แห่งเพลิง เป็นผู้สร้างสถานที่แห่งนี้"
    "ฉันหวังว่าการนำคุณมาที่นี่ จะเป็นการช่วยให้ฉันไถ่บาป"
    "ส่วนจะเป็นบาปอะไรนั้น คุณจะหาพบในที่นี้เอง"

    เทมินอสเข้ามาในซากปรักหักพัง และได้พบกับสัญลักษณ์แบบเดียวกับรอยสักของสถาปนิกวาโดส "สัญลักษณ์ของผู้พิทักษ์แห่งเพลิง" แต่ภาพกองไฟบนกำแพง เป็นกองเพลิงสีฟ้า "เพลิงของภาคีเพลิงศักดิ์สิทธิ์?"

    เทมีนอสล่วงลึกเข้ามาด้านในจนได้พบกับบันทึกฉบับหนึ่ง
    "เราสามารถเชื่อใจวาโดส เขาคือบ่าวผู้ภักดี และเป็นพี่น้องคนสุดท้ายของเรา"
    "ชาวคาลจักไม่มีวันลืมเลือน
    วันที่ทุกสิ่งถูกช่วงชิงไปจากเรา
    และความชั่วร้ายทั้งหลายได้ถูกส่งมอบ
    ผู้นำของภาคีเงาจันทราจักต้องตายในมือข้า
    ไม่ว่าจักต้องสูญเสียสิ่งใด
    ไม่ว่าจักทำให้ข้ากลายเป็นสิ่งใด
    แม้จ้าจักต้องทำลายกฏของผู้คนของเราก็ตาม"

    เทมินอสยังพบเศษกระดูกมนุษย์ที่ผิดรูปจากการถูกทุบตีซ้ำๆ คราบเลือดที่กลายเป็นสีดำเข้ม ดูเหมือนปริมาณกระดูกจะยิ่งมากขึ้นเมื่อล่วงเข้าไปลึกขึ้น เทมินอสตามรอยซากกระดูกจนกระทั่งเข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุดซึ่งเต็มไปด้วยกองกระดูกเรียงราย กำแพงสลักเป็นภาพและข้อความบทหนึ่ง ด้วยพลังสุดยอดจิตสมาธิของเทมินอส เขาได้เรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมด ความว่า

    หลานสิบปีก่อน กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า "ผู้คนแห่งคาล" ถูกสังหารหมู่ ณ ที่นี้ ด้วยคำสั่งจากผู้นำของ "ภาคีเงาจันทรา" ซากศพชาวคาลสุมซ้อนอย่างสิ้นหวังเพียงเพื่อปกป้องภาพแกะสลักบนกำแพง เป็นภาพกองไฟสีฟ้า กลุ่มคน และอสูร ข้อความบนกำแพงจารึกข้อความไว้ว่า

    "อดีตกาลนานมาแล้ว ณ ผืนดินแห่งนี้ มีการมาของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ "มหาจอมเวทย์ ดาเคส" ผู้เรียกหาราตรีกาล ราตรีที่นำพาเหล่าอสูรร้ายที่กลืนกินมนุษย์
    ในชั่วยามที่เราต้องการ มีเพียงบุรุษผู้เดียวยืนหยัดท้าทายมหาจอมเวทย์ นามของเขาคือ คาล ผู้มีดวงใจอันบริสุทธิ์ คาลร่ายมนตราเรียกอัคคีสีครามดุจท้องฟ้า และนำพาอรุณรุ่งมาสู่แดนดิน"
    "พลังแห่งราตรีกาล บัดนี้พักผ่อนอยู่ในหมู่บ้านไร้นาม เฝ้ารอคอยพิธีบูชามืด อันจะปลุกมันขึ้นมาอีกครา"
    "ต้องไม่มีผู้ใดไปยังที่แห่งนั้น ราตรีกาลจักต้องไม่ร่วงหล่นอีกครั้ง อัคคีสีครามจักต้องถูกปกป้อง"
    "เราจะเดินรอยตามผู้กล้าของเรา"
    "เราคือผู้พิทักษ์แห่งเพลิง ผู้คนแห่งคาล"

    ยังคงมีเรื่องรางบางอย่างที่คลุมเครือ เทมินอสหยิบบันทึกก่อนหน้ามาอ่านอีกครั้ง
    "...ไม่ว่าจักต้องสูญเสียสิ่งใด
    ไม่ว่าจักทำให้ข้ากลายเป็นสิ่งใด
    แม้ว่าจักต้องทำลายกฏของผู้คนของเราก็ตาม
    เพื่อการนั้น ข้าต้องการคัมภีร์แห่งราตรีกาล
    คัมภีร์ซึ่งข้าตามหามานานแสนนาน
    เมื่อคิดว่าภาคีเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ถือครองสิ่งนั้นมาโดยตลอด
    ในท้ายของคัมภีร์ บันทึกข้อความตอนหนึ่งว่า...
    "ยอมจำนนต่อตนเองไม่นำพาสู่สนธยาอันเงียบงัน เพื่อแสงสว่างนั้นจักเลือนราง"
    ส่วนท้ายของคัมภีร์ถูกฉีกออก หนังสือไม่สมบูรณ์อีกต่อไป ข้าจะต้องตามหาหน้าหนังสือส่วนที่เหลือ..."
    "ในท้ายที่สุดข้ารู้สถานที่ของมันแล้ว เหลือเพียงสี่หน้ากระดาษที่ขาดหายไป"
    "นักเทววิทยากลุ่มเล็กๆ เป็นผู้ซ่อนมัน บ่าวผู้ภักดีของเรา วาโดส ได้จัดการพวกมัน และหน้าหนังสือได้ถูกกู้คืน บัดนี้ข้ารอเพียงเวลาอันเหมาะสมสำหรับพิธีกรรม ความทรงจำของข้าบัดนี้ได้พักผ่อนยัง ณ ที่นี้
    เคียงข้างผู้คนของข้า..."

    แสดงว่า...จุดเริ่มต้นของการฆาตกรรมพระสังฆราช คือการเก็บกู้ชิ้นส่วนหน้าหนังสือเหล่านี้รึ? หากเป็นความจริง ใครก็ตามที่เขียนบันทึกนี้คือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด เขาใช้วาโดสให้สังหารเหล่าคนที่ถือชิ้นส่วนหน้าคัมภีร์ที่หายไปนั่นเอง
    ...
    "นี่คือบาปที่คนของเธอกระทำไว้สินะ เรซ่า การสังหารหมู่ชนชาวคาล"
    เทมินอสพบเรซ่าที่นอกซากปรักหักพังอีกครั้ง

    "อัคคีนำพาภัยพิบัติ" นี่คือคำสอนของชาวเงาจันทราเรา และเราก็ปฏิบัติตามโดยไม่เคลือบแคลงสงสัย แม้จะรู้ว่ามันผิดก็ตาม แต่สิ่งที่เราทำหลังจากนั้นกลับพยายามเก็บซ่อนความลับนี้เอาไว้มิให้ผู้ใดรับรู้
    "ยอมจำนนต่อตนเองไม่นำพาสู่สนธยาอันเงียบงัน เพื่อแสงสว่างจักเลือนราง...และไม่นาน ราตรีกาลจักร่วงหล่น"
    "ได้โปรด พิพากษาในความผิดบาปที่ฉันได้ทำลงไป"

    "ฉันไม่ใช่ตุลาการ ไม่อาจตัดสินเธอได้ แต่สิ่งที่เธอแบกรับ มันคือการชดใช้กรรมแล้ว"
    เทมินอสกล่าวก่อนเดินจากมา

    "และไม่นาน ราตรีกาลจักร่วงหล่น"
    คำกล่าวนี้เป็นประโยคเดียวกับบันทึกที่สังฆราชทิ้งไว้ก่อนสิ้นใจ แต่มันกลับเป็นข้อความจากคำสอนของภาคีเงาจันทรา มิใช่จากชาวคาล ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นข้อความจากหน้าหนังสือ "คัมภีร์แห่งราตรีกาล" ที่ถูกฉีกไป ดูเหมือนว่าประวัติศาสตร์ของภาคีเงาจันทราจะผูกพันกับคัมภีร์นี้อย่างลึกล้ำ และบางที องค์สังฆราชอาจต้องการให้เทมินอสรับรู้ถึงความเกี่ยวพันนี้

    "บุคคลในเงามืดที่หลบซ่อนอยู่หลังการฆาตกรรมต่อเนื่องนี้ บุคคลผู้ทิ้งบันทึกในซากปรักหักพัง ข้าจะต้องค้นหาคนผู้นั้นให้จงได้"
    "สถาปนิกวาโดส จะต้องมีคำตอบของเรื่องนี้เป็นแน่..."

  • บทที่ 3-2 บทเมืองสตอร์มเฮล

    สตอร์มเฮล ศูนย์บัญชาการใหญ่ของอัศวินศักดิ์สิทธิ์
    เทมินอสอ่านจดหมายจากมินท์ สหายนักบวชจากเมืองแรกที่เขาจากมา ดูเหมือนว่าการสอบสวนคดีการตายของสังฆราชจะเริ่มเบาบางลงแล้ว แต่สำหรับเทมินอสเรื่องนี้เพียงเพิ่งเริ่มต้น และเป้าหมายของเขา คือการสอบสวนสถาปนิกวาโดส ฆาตกรผู้ก่อเหตุซึ่งถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวงของอัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองนี้

    เทมินอสได้พบกับคริกสหายเก่าอีกครั้ง ดูเมืองคริกในตอนนี้จะมีเรื่องวุ่นวายไม่น้อย หลังจากปะทะคารมกันพอสมควร คริกจึงพาเทมินอสไปหาวาโดสที่ถูกคุมขังอยู่ แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเจ้าหน้าที่ต้อนรับแจ้งว่า ไม่มีนักโทษชื่อวาโดสแต่อย่างใด...

    ดูเหมือนจะมีลับคมคมในบางอย่าง เทมินอสและคริกถอนตัวออกมาวางแผนกันอีกครั้ง เทมินอสขอให้คริกค้นหาบันทึกการส่งตัวของวาโดส ส่วนเทมินอสออกสำรวจรอบบริเวณจนพบรอยคราบเลือดที่ลากยาวออกไปนอกเมือง ขณะนั้นเองบุคคลลึกลับในผ้าคลุมค่อยๆย่างกรายเข้าหาเทมินอส แต่คริกได้เข้ามาขัดขวางไว้และคนผู้นั้นก็ได้หลบหนีไป เทมินอสและคริกติดตามรอยเลือดต่อไปจนพบกับศพของสถาปนิกวาโดส ทางด้านคริกเล่าว่าจากการสืบค้นข้อมูล ไม่มีบันทึกการมาถึงของวาโดสแม้แต่น้อย...มีใครบางคนในศาสนจักรที่มีอำนาจสั่งการเพียงพออยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้

    และจากเหตุการณ์ทั้งหลายที่ผ่านมา ค่อยๆทุบทำลายศรัทธาของคริกที่มีต่อศาสนจักร จนคริกไม่รู้ว่า ควรจะเชื่อถือศรัทธาสิ่งใดแล้ว...

    "ฉันจะศรัทธาในเรื่องอะไรได้อีกต่อจากนี้..."
    "นั่นคือสิ่งที่นายจะต้องค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง คริก และฉันต้องขอเตือนนาย มีเพียงไม่กี่สิ่งเท่านั้นที่คู่ควรแก่การเลื่อมใสศรัทธา"
    "เทมินอส นายไม่ศรัทธาในพระเจ้าของนายเลยรึ นายสงสัยทุกสิ่ง ตั้งคำถามต่อทุกอย่างในโลกใบนี้"
    "เมื่อยังเด็ก ฉันเติบโตมาในครอบครัวที่สอนให้ฉันลักขโมย เหยีบบหัวผู้อื่นเป็นหินรองเท้า จนกระทั่งฉันได้พบนักบวชเจ้าหน้าที่สอบสวนผู้หนึ่ง เขายอมรับฉันและบอกว่าฉันมีหัวใจอันทรงเกียรติ นับแต่นั้นฉันจึงออกจากบ้านและมาเข้ากับศาสนจักร"
    "โลกนี้เป็นสถานที่อันโหดร้ายและไร้ซึ่งเหตุผล ฉันต้องการเพียงบางสิ่งที่ทำให้ฉันเชื่อถือ ฉันเพียงอยากช่วยเหลือผู้คน อยากเป็นดาบให้ผู้คนเหล่านั้น"

    "เจ้าหน้าที่สอบสวนผู้นั้น ใช่ชายที่ชื่อรอยหรือไม่?"
    รอยคือเพื่อนนักบวชของเทมินอสที่หายสาปสูญไปเมื่อ 5 ปีก่อนนั่นเอง
    "โบสถ์มีความลับ ความลับที่เลวร้ายอย่างยิ่ง" คำพูดสุดท้ายของรอยที่บอกกับเทมินอส ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของเขาไม่ลืมเลือน และด้วยคำพูดนี้เอง คือเหตุผลที่เทมินอสเริ่มไม่เชื่อใจศาสนจักรและต้องการที่จะเปิดเผยความจริง มันเปรียบดังความปรารถนาก่อนตายของรอยซึ่งเทมินอสตั้งใจจะรักษาเกียรติของรอยไว้
    "ฉันไม่ได้ต้องการล้างแค้น ไม่ได้ต้องการสังหารผู้อยู่เบื้องหลังใดๆ ฉันเพียงต้องการนำความจริงออกมาสู่แสงสว่างเท่านั้น"

    หลังปรับความเข้าใจ ทั้งสองตัดสินใจแยกย้ายกันไปพักผ่อน เพื่อที่จะสืบค้นเรื่องราวต่อไปในวันรุ่งขึ้น แต่ในคืนนั้น คริกซึ่งยังคงสงสัยต่อมูลเหตุจูงใจของผู้อยู่เบื้องหลังวาโดส และคำพูดก่อนถูกควบคุมตัวของเขา คริกตัดสินใจไปหาข้อมูลประโยคดังกล่าวในหอสมุดของศาสนจักร เขาค้นพบว่าประโยคนี้มาจากร้อยกรองตอนหนึ่งจากหนังสือ "คัมภีร์แห่งราตรีกาล" คริกรีบนำข้อมูลนี้กลับไปหาเทมินอสทันที...

    ทางด้านเทมินอสที่กำลังไตร่ตรองเรื่องราวที่เกิดขึ้น ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่เขามองข้ามไป...

    เช้าวันถัดมา เทมินอสออกมาหาคริกตามสถานที่นัดพบ แต่กลับพบคริกในสภาพกลายเป็นศพเสียแล้ว เทมินอสพบเศษกระดาษในกำมือของคริก บันทึกใจความว่า "ยอมจำนนต่อตนเองไม่นำพาสู่สนธยาอันเงียบงัน เพื่อแสงสว่างจักเลือนราง" ไม่นานนักเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ตัวประกอบก็เข้ามาสะสางพื้นที่เกิดเหตุ ไล่ชาวบ้านและเทมินอสออกไป

    ได้เวลาสุดยอดพลังจิตสมาธิของเทมินอสสำแดงเดชอีกครั้ง เขาใช้เบาะแสที่คริกทิ้งไว้สืบค้นไปยังหอสมุดในศาสนจักร และตามรอยของคริกจนกระทั่งค้นพบทางลับที่นำไปสู่ชั้นใต้ดินของศูนย์บัญชาการใหญ่ การเสียสละของคริกไม่ได้สูญเปล่า และบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เทมินอสจะกระชากความจริงออกมา

    เทมินอสล่วงลึกเข้าไปในเส้นทางลับนั้น จนสุดทางเขาได้พบกับชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยคัมภีร์ต้องห้ามมากมาย เหล่าตำรา ม้วนคัมภีร์ที่สูญหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ล้วนอยู่ในที่แห่งนี้ เทมินอสยิ่งสงสัยใจ เป้าหมายของศาสนจักรคือสิ่งใดกันแน่?

    "ดูท่าหมาล่าเนื้อของสังฆราชจะตามกลิ่นมาถึงที่นี่จนได้สินะ" เสียงลึกลับมาพร้อมการปรากฏตัวของหญิงสาวในชุดคลุมผู้หนึ่งผู้มีนามว่า "ท่านรองฯ คูบายี่"
    "คริกรู้มากเกินไป เขาไม่ควรสืบเสาะจนนำแกมาถึงตรงนี้ นำมาถึงคัมภีร์แห่งราตรีกาล และนำไปสู่หลุมศพของเขาเอง ด้วยมือของคนที่นายรู้จักดีเลยล่ะ เทมินอส"

    "กัปตันคัลดีน่านั่นเอง"

    "แกก็เป็นคนโง่อีกคน เทมินอส เซนส์แห่งความยุติธรรมอันดื้อด้านของแกนำแกให้มาท้าทายอำนาจของเทพเจ้า!!"
    "ฉะนั้น แกก็จงรับทัณฑ์เทพเสียเถอะ ฮ่าๆๆๆ"

    หลังเอาชนะท่านรองฯ ตัวประกอบไปได้ เทมินอสไม่ได้รับคำตอบใดนอกจากคำอวยพรว่า "ไปลงนรกซะ"
    "ก่อนฉันจะไป แกก็ต้องชดใช้บาปกรรมของแกก่อนล่ะ"
    ...
    อ๊อดสหายของคริกแหละเหล่าเพื่อนอัศวินศักดิ์สิทธิ์ห้อมล้อมหลุมศพของคริกอย่างเงียบงัน เทมินอสที่เฝ้ามองอยู่เบื้องนอกได้แต่นึกถึงคราแรกที่เราได้พบกับคริก อัศวินโบสถ์หน้าใหม่ผู้ใสซื่อ แม้จะไม่ได้เก่งกาจมากนัก แม้จะหวาดกลัว แต่คริกก็จะออกหน้าปกป้องเทมินอสอยู่เสมอ

    "โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเลย คริก นายให้ฉันเป็นหนี้บุญคุณนายหลายต่อหลายครั้ง แล้วนายก็ทิ้งฉันไป แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะชดใช้บุญคุณของนายให้ได้ ฉันสัญญา"

    บัดนี้ด้วยเบาะแสทั้งหมดที่มี พุ่งเป้าไปสู่บุคคลเพียงหนึ่งเดียว คัลดีน่า ผู้นำของอัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนจักร และสถานที่เป้าหมายของคัลดีน่า มีเพียงหมู่บ้านไร้นามเท่านั้น เป้าหมายของคัลดีน่าคือการปลดปล่อยพลังของราตรีกาล เทมินอสให้คำมั่นกับตัวเองว่าจะต้องหยุดยั้งนางก่อนพิธีกรรมนี้จะเสร็จสมบูรณ์

  • บทที่ 4 บทสุดท้าย

    30 ปีก่อนหน้านี้...
    สองพ่อลูกหลบหนีการตามล่าจากกลุ่มลัทธิคลั่ง ในเหตุการณ์นั้น ผู้เป็นพ่อสละตัวเองขวางทางเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกสาวได้หนีไป
    พ่อลูกคู่นี้คือชนชาวคาลที่ถูกภาคีเงาจันทราสังหารหมู่เมื่อครั้งนั้น
    และเด็กสาวผู้นั้น คือคัลดีน่านั่นเอง
    "ข้าชิงชังกลุ่มคนที่ล่าสังหารคนของข้า
    ชิงชังโลกอันโหดร้ายใบนี้ที่ปล่อยให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
    และหากโลกใบนี้มีเทพเจ้า เทพก็คือศัตรูของข้าเช่นกัน
    เพลิงสีครามได้ทอดทิ้งผู้คนของข้า
    แต่เหนือยิ่งไปกว่านั้น ข้าชิงชังตัวเอง
    ชิงชังความไร้พลังของตัวข้าเอง..."

    "ดังนั้นข้าจึงเดินตามรอยเท้าของผู้เป็นศัตรู
    ปฏิญาณตนศรัทธาในภาคีแห่งเพลิง
    และรอคอยโอกาส...ในการล้างแค้น"

    "แต่ศัตรูของข้าช่างเข้มแข็งเกินกว่าที่ข้าจะหยั่งรู้
    หากข้าแข็งแกร่งกว่านี้ละก็...
    ข้าจะต้องแข็งแกร่งกว่านี้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียสิ่งใด พลัง จะต้องเป็นของข้า"
    ...
    ณ หมู่บ้านไร้นาม หมู่บ้านลึกลับในป่าลึกบนเกาะอันห่างไกล มีซากอารยธรรมโบราณปลูกสร้างอยู่ในป่าลึกแห่งนี้ กัปตันคัลดีน่าเดินทางมายังซากอารยธรรมพร้อมด้วยกองกำลังอัศวินศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก คัลดีน่าคัดเลือกมือดีเพียงกลุ่มหนึ่งติดตามนางล่วงลึกเข้าไปยังด้านใน ทิ้งกำลังส่วนที่เหลือไว้ต้อนรับ "หมาล่าเนื้อ" โดยเฉพาะ
    ...
    เทมินอสก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านไร้นามแล้วเช่นกัน และด้วยความช่วยเหลือจากเชอลุตโต้ ผู้พิทักษ์ชาวเผ่ามนุษย์สัตว์แห่งหมู่บ้านไร้นาม เทมินอสผ่านป่าวงกตอันเร้นลับมาได้ และเมื่อมาถึงยังปากทางเข้าซากโบราณสถาน เชอลุตโต้ได้เล่าถึงตำนานบรรพกาลเรื่องหนึ่ง

    "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มหาจอมเวทย์นามดาเคสได้ทำพิธีกรรมต้องห้ามเรียกราตรีกาลออกมา แต่แท้จริงแล้วเป้าหมายของมหาจอมเวทย์คือการอัญเชิญ "เงาทมิฬ" มนุษย์พยายามต่อสู้แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แก่พลังงานลึกลับที่ครอบงำมนุษย์ให้เกิดความโลภ เป็นคำสาปของดาเคส มนุษย์เริ่มเปลี่ยนกลายเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ นับแต่นั้น เผ่ามนุษย์สัตว์จึงถือกำเนิดและคอยเฝ้ามองสถานที่แห่งนี้เรื่อยมา และภายในสถานที่แห่งนี้ "เงาทมิฬ" กำลังคืบคลานออกมาแล้ว"

    ขณะเดียวกัน คณะของคัลดีน่าที่กำลังล่วงลึกเข้าด้านในก็ได้หยุดลง อ๊อด มือขวาของคัลดีน่าถือโอกาสไถ่ถามถึงเรื่องของคริก เขารู้ว่าบาดแผลของคริกเป็นฝีมือของคัลดีน่า แต่เขาต้องการทราบเหตุผลว่าทำไม คัลดีน่าตอบคำถามด้วยการตวัดดาบฟาดฟันอ๊อดและผู้ติดตามจนหมดสิ้น แท้จริงแล้วนี่คือเป้าหมายแต่แรกของคัลดีน่า คือการนำเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมาเซ่นสังเวยพิธีกรรมต้องห้ามนั่นเอง

    "ยอมจำนนต่อตนเองไม่นำพาสู่สนธยาอันเงียบงัน เพื่อแสงสว่างนั้นจักเลือนราง และไม่นาน ราตรีกาลจักร่วงหล่น" คัลดีน่ากล่าวพร้อมหัวเราะด้วยเสียงอันดัง
    "จงลุกขึ้น เงาทมิฬ!!"
    จบคำ พลังงานลึกลับสีม่วงดำกระจายขึ้นมาจากพื้นที่ทั่วโบราณสถาน กลืนกินเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลือให้บ้าคลั่งและฆ่าฟันกันเอง

    เทมินอสล่วงลึกเข้ามายังด้านใน เขาพบกับศพของเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ทอดร่างเป็นศพอยู่เรียงราย แต่หนึ่งในนั้น อ๊อดยังคงมีชีวิตอยู่ เทมินอสพยายามเข้าไปช่วยแต่อ๊อดขอร้องว่าให้เทมินอสรีบไปหยุดยั้งคัลดีน่าโดยเร็ว เทมินอสไม่มีทางเลือกนอกจากออกไปเผชิญหน้ากับคัลดิน่าในที่สุด

    คัลดิน่าเกลี้ยกล่อมเทมินอสให้เข้าเป็นพวก แน่นอนเทมินอสปฏิเสธในทันที เทมินอสเปิดโปงว่าคัลดิน่าคือเจ้าของบันทึกในซากปรักหักพังเฟลซัน ซึ่งหมายความว่า "คัล" ดิน่า คือชาว "คาล" คนสุดท้ายที่เหลืออยู่

    "มีคำกล่าวว่า มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะสอนสั่งคนโง่เขลาได้ เข้ามาสิเทมินอส"
    "ตลกดีนะ ผู้นำสูงสุดของอัศวินโบสถ์ คือคนนอกรีตที่ปฏิเสธพระเจ้า ยอมรับความผิดบาปของท่านเถอะ"
    "บาปของข้างั้นเหรอ? มีคนมากมายบนโลกใบนี้ที่ผิดบาปยิ่งกว่าข้าซะอีก อย่างเช่น พระเจ้าผู้เป็นที่รักของพวกเจ้ายังไงล่ะ!!"
    "พระเจ้าของพวกเจ้าสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา แต่กลับโง่เขลาที่ทำให้มันมีมลทินด้วยการสร้างมนุษย์"
    "บาปนี้แหละที่พวกนั้นจะต้องถูกทำลาย"
    "ข้าจะทำให้เงาทมิฬเป็นของข้า และล้างแค้นให้ประชาชนชาวคาล"
    "ข้าจะฆ่าใครก็ตามที่ขัดขวาง ข้าจะเป็นอะไรก็ตามถ้ามันทำให้ข้าบรรลุเป้าหมาย ศัตรูของเราจะต้องถูกกลบฝังด้วยพลังของความมืดมิดที่คนของข้าหมิ่นแคลน!!"

    เทมินอสเข้าต่อสู้กับคัลดีน่าอย่างดุเดือด จนเมื่อคัลดีน่าพลาดท่าถอยร่นอย่างต่อเนื่อง ชัยชนะกำลังจะเป็นของเทมินอส...

    "เจ้าพวกสิ่งมีชีวิตอวดดี พวกเจ้าจะกวนใจข้าไปอีกนานแค่ไหน!!!"
    "ท่านก็น่ารู้คำตอบดี จนกว่าความจริงจะเปิดเผยยังไงล่ะ"
    "อย่าพูดให้ขำไปหน่อยเลย มนุษย์น่ะมันอ่อนแอ เทมินอส"
    "เงาทมิฬจะต้องเป็นของข้า ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม"
    "เงาทมิฬ มันคืออะไรกันแน่ คัลดีน่า?"
    "เงาทมิฬคือทุกสิ่งทุกอย่าง มันคงอยู่ในทุกที่บนโลกใบนี้ มันอยู่กับพวกเจ้าทั้งยามหลับ ยามสู้ มันอยู่กับพวกเจ้าตลอดมา มันอยู่กระทั่งในอกของพวกเจ้า"
    "จงดูด้วยตาตัวเองเถอะ!!!"

    คัลดีน่าเรียกไอพลังสีม่วงดำออกมาจากตัว แต่ขณะนั้นเอง ไอพลังนั้นก็ได้กัดกินร่างของคัลดีน่า จนร่างกายคัลดีน่าค่อยๆเปลี่ยนไป เทมินอสรับรู้ได้ในทันที สตรีตรงหน้ามิใช่คัลดีน่าอีกต่อไปแล้ว แต่คือ "ราตรีกาล"

    เทมินอสต่อสู้กับ "คัลดีน่า ราตรีกาล" ด้วยความยากลำบาก แต่ก็เอาชนะนางได้ในที่สุด ไอพลังมารค่อย ๆ จางหายไป
    ...
    หลังการตายของคัลดีน่า กลุ่มอัศวินศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกเปิดโปง บาปที่ลึกล้ำดำมืดที่สุดบัดนี้ได้ถูกเปิดโปงออกมาสู่แสงสว่าง ผู้กระทำผิดได้ถูกนำเข้าสู่กระบวนการทางกฏหมาย คดีอันซับซ้อนที่เริ่มต้นด้วยการฆาตกรรมองค์สังฆราชก็จบลงอย่างเงียบงัน

    เทมินอสกลับมายังโบสถ์เดิมของตัวเองอีกครั้ง พลางนึกถึงคริก และรอย ในที่สุดเขาก็สานต่อเจตนารมณ์ของทั้งสอง เปิดเผยความจริงออกมาได้ในที่สุด แต่ก็ยังคงมีปริศนาบางอย่างที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย ตัวตนที่แท้จริงของศัตรูของคัลดีน่า? ใครคือผู้นำภาคีเงาจันทรา? ยิ่งไปกว่านั้น พลังที่ศาสนจักรพยายามแอบซ่อน พลังที่คัลดีน่าพยายามเรียกออกมา "เงาทมิฬ" คืออะไรกันแน่?

    ปริศนาหนึ่งที่คลี่คลาย กลับนำไปสู่อีกปริศนาหนึ่ง ดังตะวันและจันทราที่ขึ้นลงสลับไปมาไม่จบสิ้น

    "ยอมจำนนต่อตนเองไม่นำพาสู่สนธยาอันเงียบงัน เพื่อแสงสว่างนั้นจักเลือนราง และไม่นานราตรีกาลจักร่วงหล่น..."

    - บทแห่งนักบวช -
    -จบบริบูรณ์-

 

 

 

 


Ochette พรานสาวเผ่ามนุษย์สัตว์ผู้มีอสูรเป็นเพื่อน...และเป็นอาหาร

โอเช็ตเป็นมนุษย์ครึ่งสัตว์ซึ่งเป็นเผ่าเล็กๆที่อาศัยอยู่ในป่าลึกบนเกาะที่ห่างไกล ถูกเลี้ยงดูมาโดยราชสีห์ขาวซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ประจำเผ่า มีนกฮูกหรือหมาไนเป็นเพื่อนคู่ใจ (เลือกได้อย่างนึง) มีความสามารถจับสัตว์อสูรเอามาใช้งานได้ (และเอามาทำอาหารได้ด้วย) มีความสามารถในการท้าคนประลองกับสัตว์อสูรตัวเองในตอนกลางวัน และสร้างมิตรกับคนอื่นผ่านอาหารในตอนกลางคืน

  • บทที่ 1

    ณ เกาะโตโตฮาฮา เกาะอันห่างไกลจากอารยธรรมของโลก โอเช็ตซึ่งถูก "ราชสีห์ขาวจูวา" ผู้พิทักษ์ประจำเผ่าซึ่งสามารถพูดภาษามนุษย์ได้เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ โอเช็ตเป็นพรานประจำหมู่บ้านซึ่งคอยล่าสัตว์อสูรที่กินเยอะเกินไป เอามาเป็นอาหารให้กับคน(ครึ่งสัตว์) ในหมู่บ้าน ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่หมู่บ้านมนุษย์สัตว์ก็มักจะมีปัญหาระหองระแหงกับหมู่บ้านมนุษย์ที่อยู่ข้างๆ ด้วยความโลภของมนุษย์ที่ไม่เคยพอ จ้องจะเบียดเบียนพื้นที่ป่าจนพยายามจะเข้ามายึดพื้นที่ของเผ่ามนุษย์สัตว์อยู่เสมอ แต่แล้ววันหนึ่งหัวหน้ากลุ่มมนุษย์กลับมาขอความช่วยเหลือเนื่องจากมีเด็กในหมู่บ้านมนุษย์หลงเข้าไปในซากอารยธรรมโบราณซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีสัตว์อสูรอันตรายอยู่ โอเช็ตอาสาเข้าไปช่วยจนสำเร็จ แต่ระหว่างทางกลับหมู่บ้าน โอเช็ตพบสัตว์อสูรประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และเหตุร้ายก็เกิดขึ้นเมื่ออสูรยักษ์ประหลาดบุกโจมตีหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างหนีออกมาเหลือเพียงราชสีห์ขาวที่ยืนหยัดสู้เพียงลำพัง โอเช็ตจึงรีบไปช่วยอาจารย์และเอาชนะอสูรประหลาดมาได้ จากนั้นจึงได้ฟังความจริงจากราชสีห์ขาวว่าภัยพิบัติตามตำนานได้เกิดขึ้นแล้ว หนทางเดียวที่จะหยุดยั้งได้คือการออกตามหาสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามซึ่งว่ากันว่าเคยเป็นผู้พิทักษ์ประจำเกาะในตำนานซึ่งเคยปกป้องเกาะโตโตฮาฮาแห่งนี้ไว้ในอดีต จากนั้นได้แยกย้ายกันไปตามจุดต่างๆทั่วโลก โอเช็ตจึงต้องออกเดินทางเพื่อตามหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม โอเช็ตจะสามารถหยุดยั้งภัยพิบัติครั้งใหญ่นี้ได้หรือไม่ ภัยพิบัติตามคำทำนายที่ว่าคือเรื่องราวใด

  • บทที่ 2-1 แคเธอแรคต้า มังกรสมุทร

    โอเช็ตเดินทางมายังเมืองคอนนิ่งครีค เมืองท่าเรือเล็กๆตามเบาะแสของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ "แคเธอแรคต้า เทพแห่งท้องทะเล" เมื่อมาถึงโอเช็ตได้ยินเหมือนเสียงเรียกขอความช่วยเหลือบางอย่างจากเกาะเล็กๆนอกหมู่บ้าน แต่ขณะที่จะไปที่เกาะนั้นเอง โอเช็ตกลับถูกขัดขวางโดย "อัลพิโอเน่" หญิงสาวลึกลับที่ไม่ยอมให้โอเช็ตไปยังเกาะนั้น

    หลังจากแก้ปัญหาด้วยกำลัง โอเช็ตก็เดินทางไปที่เกาะนั้นและพบว่า เสียงที่เธอได้ยินนั้นแท้จริงแล้วเกิดจากเสียงลมที่พัดผ่านซากกระดูกสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ แคเธอแรคต้านั่นเอง อัลพิโอเน่ที่ตามมาจึงได้รู้ว่าโอเช็ตไม่ได้มาตามหาสมบัติจากซากสัตว์เทพเหมือนอย่างคนอื่น จึงชักชวนโอเช็ตไปยังด้านในสุดของถ้ำ

    อัลพิโอเน่เล่าว่า หลายปีก่อนหลังจากการต่อสู้เพื่อปกป้องเมืองในอดีต แคเธอแรคต้าอ่อนแอจนถึงขีดสุด และถูกไล่ล่าโดย "นักล่าแห่งความมืด" มนุษย์ผู้ไม่ได้ล่าเพราะความหิวโหย หากแต่ล่าเพราะความร่ำรวย แต่ก่อนตาย แคเธอแรคต้าก็ได้ทิ้งไข่ใบหนึ่งก่อนจะสิ้นลม อัลพิโอเน่จึงรับหน้าที่ปกป้องไข่ใบนั้นเป็นต้นมา
    หลังจากได้รู้เหตุผลทั้งหมดของโอเช็ตที่ต้องการปกป้องเกาะโตโตฮาฮา อัลพิโอเน่จึงวางใจมอบสิ่งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ของแคเธอแรคต้า ซึ่งหลังจากผ่านเวลาอันยาวนาน เหมือนจะรู้ว่าเวลาได้มาถึง ไข่ใบน้อยได้ฟักตัวเบื้องหน้าโอเช็ตนั้นเอง โอเช็ตจึงนำจ้าวอสูรตัวน้อยเดินทางไปด้วย และตั้งชื่อให้ว่า "แอคต้า"

  • บทที่ 2-2 เทร่า อสูรไฟใต้พิภพ

    โอเช็ตเดินทางมายังเมืองแคร็กริดจ์ เมืองที่ถูกสร้างอยู่กลางหุบเขา ชาวเมืองดูจะประหลาดใจกับหูและหางของโอเช็ตที่ยื่นออกมาพลางคิดในใจ (หางปลอมนี่เหมือนจริงเชียว แฟชั่นของเด็กยุคนี้เหรอเนี่ย?)

    โอเช็ตเริ่มต้นทักทายด้วยการตะโกนเสียงดัง "เทร่า อยู่ที่ไหน!!! มานี่หน่อย!!!!" ทันใดนั้น สัญญาณตอบรับคือแผ่นดินใต้เมืองเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง

    โอเช็ตสอบถามข้อมูลถึงเทร่า ทุกคนต่างรู้จักสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ตนนี้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่มีใครกล้าพาโอเช็ตไปพบเลยแม้แต่คนเดียว

    สุดท้ายจากการเอาเนื้อมาล่อ โอเช็ตได้รับความช่วยเหลือจาก ปอม เด็กหนุ่มผู้อดอยากในหมู่บ้าน อาสาพาโอเช็ตไปยังหุบเขาใต้หมู่บ้าน ที่ซึ่งเล่าขานกันว่าเป็นที่พักของเทร่า อสูรพิทักษ์ในตำนาน

    ที่สุดปลายของขอบเหว ปรากฏลมกรรโชกแรงที่แปลกประหลาด เป็นลมผลักสลับกับลมดึง ดูเหมือนอสูรในตำนานของเราจะหายใจแรงไม่ใช่น้อย
    "เหวลึกขนาดนี้จะลงไปได้ยังไง พลาดนิดเดียวได้กลับบ้านเก่าแน่ๆ"
    "เมื่อเราลงไปหาไม่ได้ ทำไมเราไม่เรียกมันขึ้นมาล่ะ"
    มาฮิน่า นกฮูกเพื่อนยากที่ติดตามโอเช็ตตั้งแต่เริ่มต้นยังคงชาญฉลาดกว่าโอเช็ตเช่นเคย

    "เททททททททททร่าาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!"
    โอเช็ตตะโกนสุดเสียง ไม่นานนักเกิดการตอบรับด้วยการสั่นไหวของพื้นดินอย่างรุนแรง เสียงตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราดดังมาจากใต้หุบเหว

    "ใครบังอาจรบกวนการนอนของข้า!!!"
    "อรุณสวัสดิ์เทร่า ขอโทษที่ปลุกแต่ภัยพิบัติกำลังมา ไปช่วยเก๊าหน่อยจิ"
    "กรูนอนอยู่ดีๆว้อยยยยยยยยยย"
    ...
    หลังการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของพื้นดินอย่างต่อเนื่อง เสียงวัตถุกระทบเหวค่อยๆดังจากด้านล่างขึ้นมาชัดขึ้นเรื่อยๆ อสูรยักษ์ไต่ขอบเหวขึ้นมาด้วยความรวดเร็วพร้อมเสียงคำรามอย่างเคืองแค้น ไม่นานเบื้องหน้าโอเช็ตปรากฏอสูรขนาดยักษ์สีแดงรูปร่างคล้ายเต่า รอบตัวเป็นศิลาแหลมคมดังเกราะอันแข็งแกร่ง ด้านหลังลำตัวเป็นเปลวเพลิงขนาดมหึมา ด้านล่างของปากเหมือนหินงอกหินย้อยอันแหลมคม เขาบนหัวที่ส่วนปลายสีแดงจ้าเหมือนโลหะเผาไฟ ร่างกายใหญ่โตเหลือคณานับ แต่ดูเหมือนว่ามันจะได้รับบาดเจ็บ โอเช็ตไม่รอช้าเข้าเจรจาด้วยกำลังเช่นเคยทันที

    หลังการพูดคุยตามประสาลูกผู้ชาย (ถึงโอเช็ตจะเป็นผู้หญิงก็เถอะ) เทร่าที่สงบลงก้มมองโอเช็ตและเริ่มคาดเดาเรื่องราวได้ เทร่าเล่าว่ากว่าทศวรรษก่อน มีนักล่าผู้หนึ่งเรียกตัวเองว่า "นักล่าแห่งความมืด" เขาท้าทายอสูรเทร่า และจบลงด้วยการบาดเจ็บของทั้งสองฝ่าย เทร่าร่วงหล่นสู่ก้นบึ้งของโลกและหลับไหลนับแต่นั้นมา หลังรับฟังเรื่องราวภัยพิบัติที่กำลังมาจากโอเช็ต สุดท้ายเทร่าก็ยอมติดตามโอเช็ตกลับไปด้วยดี

    กลับมาที่หมู่บ้าน เหล่าชาวบ้านเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังโอเช็ตอย่างเนืองแน่น
    "วันนี้แผ่นดินสะเทือนทั้งวันไม่หยุด บอกทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของเธอ"
    "อ๋อไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่สู้กับเทร่านิดหน่อยน่ะ"
    "!?!?"
    "ไม่ต้องห่วง เทร่ามากับฉันแล้วตอนนี้"
    "เอิ่มมมมมมม"

    หลังการร่ำลาชาวบ้านกับปอม เด็กหนุ่มที่ร่วมทางกันในเวลาสั้นๆ จุดหมายของโอเช็ตเหลือเพียงอสูรตัวสุดท้าย

  • บทที่ 2-3 กลาซิส วิหคน้ำแข็ง

    โอเช็ตมาถึงเมืองสตอร์มเฮล เมืองที่พายุหิมะไม่เคยหยุด สภาพอากาศอันเลวร้ายทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก เป้าหมายของโอเช็ตคือยอดเขาสูงสุดนอกเมือง แต่ตีนเขาถูกกั้นไว้ด้วยกำแพงสูงและทหารยามขัดขวางไว้
    "เบื้องหลังกำแพงนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่วิหคในตำนานกลาซิสอาศัยอยู่ ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามผ่าน"

    ในอดีต กลาซิส วิหกศักดิ์สิทธิ์ได้ใช้พลังอันแข็งแกร่งปกป้องเมืองแห่งนี้ แต่เพราะความแข็งแกร่งนั่นเอง ทำให้ตกเป็นเป้าตามล่าของพรานกลุ่มหนึ่ง ที่หวังสร้างชื่อจากการพิชิตวิหคศักดิ์สิทธิ์ การต่อสู้ครั้งนั้นจบลงที่ความพ่ายแพ้ของเหล่าพราน แต่นับแต่นั้น พายุหิมะอันหนาวเย็นก็เริ่มต้นขึ้นและไม่เคยหยุดลงเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว

    โอเช็ตเจรจา (ด้วยกำลัง) กับทหารยามผู้นั้น และมุ่งหน้าสู่ยอดเขา แต่ระหว่างทางโอเช็ตได้พบพรานเฒ่าผู้หนึ่ง ซึ่งพรานเฒ่าผู้นี้เองคือหนึ่งในพรานที่ร่วมล่ากลาซิสในอดีต และมีชีวิตรอดกลับมาเพียงผู้เดียว

    แน่นอนว่าเป้าหมายของพรานเฒ่า คือวิหกศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน

    หลังจากแยกย้ายจากพรานเฒ่า โอเช็ตได้ขึ้นไปถึงยอดเขาและได้พบกับพรานเฒ่าคนเดิมอีกครั้งซึ่งตอนนี้นอนบาดเจ็บ เบื้องหน้ามีวิหคขนาดยักษ์สยายปีกที่ก่อตัวด้วยน้ำแข็ง จ้องมองลงมาด้วยความอาฆาต

    "กลับไป กลับไปให้หมด!!!"

    โอเช็ตที่กำลังงงงวยกวาดสายตาไปพบวัตถุสิ่งหนึ่ง มันคือไข่ขนาดยักษ์ใบหนึ่ง ไข่ที่มีร่องรอยการถูกทำลายแตกออกเมื่อนานมาแล้ว

    โอเช็ตที่ไม่มีเวลาปะติดปะต่อเรื่องราว ได้แต่เตรียมพร้อมรับมือกับวิหคยักษ์ที่พุ่งเข้ามา หลังการต่อสู้อันดุเดือด โอเช็ตหยุดยั้งกลาซิสไว้ได้ และกระตุ้นเตือนกลาซิสว่า ยังมีสิ่งที่รอให้วิหคศักดิ์สิทธิ์ไปปกป้อง นั่นคือหมู่บ้านโตโตฮาฮาและชาวมนุษย์สัตว์ จนสุดท้ายกลาซิสจึงได้สติและยอมรับโอเช็ตในที่สุด จากนั้นโอเช็ตจึงได้ฟังความจริงทั้งหมดจากพรานเฒ่านั้น

    ประมาณสิบปีก่อน "นักล่าแห่งความมืด" ได้ชักชวนเหล่าพรานในหมู่บ้านแห่งนี้เพื่อออกล่ากลาซิส ด้วยแรงจูงใจอันหอมหวาน ทุกคนต่างอยากมีชื่อว่าเป็น "ผู้พิชิตวิหคศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน" เหล่าพรานทั้งหมดจึงร่วมเดินทางกับนักล่าแห่งความมืดผู้ลึกลับนั้น มุ่งหน้าสู่ยอดเขาของกลาซิส

    แต่เรื่องราวไม่เป็นไปตามคาด แม้กลาซิสจะยังคงบาดเจ็บจากการต่อสู้เพื่อปกป้องเมือง กระนั้นเหล่าพรานก็ไม่สามารถต่อกรกับกลาซิสได้เลย แต่ในระหว่างที่ชุลมุนกันอยู่นั้นเอง นักล่าแห่งความมืดได้ฉวยโอกาสทำลายไข่ของกลาซิสบนยอดเขา ด้วยความแค้น กลาซิสจึงสังหารเหล่าพรานทั้งหมด คงเหลือแต่พรานเฒ่าและนักล่าแห่งความมืดที่หลบหนีไป นับแต่นั้นมา กลาซิสก็ชิงชังมนุษย์ และสร้างพายุหิมะปกคลุมรอบบริเวณ

    "ยอมรับไม่ได้..."
    "ไม่ได้ล่าเพื่ออาหาร แต่ล่าเพื่อเกียรติยศ"
    "เกียรติยศที่กินไม่ได้ด้วยซ้ำ"

    โอเช็ตที่รู้เหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว แม้จะไม่พอใจในตัวมนุษย์ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้พรานเฒ่าที่ทำใจยอมรับชะตากรรมในที่นี้ ตกตายต่อหน้าได้ หลังจากช่วยพรานเฒ่ากลับมาในเมืองเป็นผลสำเร็จ กลุ่มชาวบ้านต่างเริ่มสังเกตว่า พายุหิมะที่ยาวนานได้หยุดลงแล้ว...

    "บัดนี้อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามได้อยู่กันครบแล้ว กลาซิส เทร่า และเอ่อ...แอคต้า ถึงเจ้าจะตัวเล็กไปหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็ได้เวลากลับหมู่บ้านโตโตฮาฮาแล้ว..

  • บทที่ 3 บทสุดท้าย

    โอเช็ตเดินทางกลับมายังหมู่บ้านโตโตฮาฮา พร้อมสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม หลังความตื่นตะลึงของอาจารย์จูวา ราชสีห์ขาวก็ได้เล่าถึงที่มาของภัยพิบัติที่เรียกว่า "คืนจันทร์สีแดงเลือด"

    ทุกๆ 400 ปี ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะโคจรมาบรรจบกัน เมื่อนั้นจะเกิดปรากฏการณ์คืนจันทร์สีแดงเลือด ที่ทำให้สัตว์อสูรแห่งเงาปรากฏขึ้น สัตว์อสูรอันดุร้ายจะกลายพันธุ์ และภัยพิบัติจะถือกำเนิดไปทั่วเกาะแห่งนี้

    และคืนนี้เป็นวันครบกำหนด 400 ปีแล้ว ในคืนนี้ เหล่ามนุษย์สัตว์ต่างเตรียมพร้อมรับมือ แต่โคฮาเซ หัวหน้าหมู่บ้านมนุษย์และผู้ติดตามกลับมาเจรจาต่อรองต้องการดินแดนจากเผ่ามนุษย์สัตว์อีก ราชสีห์ขาวที่ไม่สนใจเนื่องจากกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมรับมือภัยพิบัติในคืนนี้ กลุ่มมนุษย์ที่ถูกเมินเฉยเดินทางกลับด้วยความไม่พอใจ แต่ขณะนั้นเองกลับถูกจู่โจมโดยเหล่าอสูรเงาจนกลุ่มมนุษย์ต้องถอยร่นกลับมายังกลุ่มมนุษย์สัตว์ที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อน

    ภัยพิบัติได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...

    หลังการต่อสู้กับอสูรเงาหลายระลอก กลุ่มมนุษย์ตกลงใจร่วมมือกับกลุ่มมนุษย์สัตว์อย่างเต็มกำลัง โอเช็ตและราชสีห์ขาวสัมผัสถึงมวลพลังอันน่ากลัวปริมาณมหาศาลในป่าลึกอีกฟาก โอเช็ตกับราชสีห์ขาวจึงตัดสินใจเข้าไปสำรวจ แม้จะมีเหล่าอสูรเงาขัดขวางตลอดเส้นทาง แต่ด้วยการช่วยเหลือของเทร่า กลาซิส (และแอคต้าตัวน้อย) สัตว์ศักสิทธิ์ต่างปลดปล่อยพลังอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องเกาะแห่งนี้ (แม้พลังความโกรธเกรี้ยวของเทร่าจะมากจนทำลายเกาะไปบางส่วนก็ตาม)

    ในที่สุดโอเช็ตกับราชสีห์ขาวก็มาจนสุดทางซึ่งเป็นขอบผาขนาดใหญ่ ปรากฏอสูรตัวมหึมาที่รอบตัวเต็มไปด้วยมวลพลังสีม่วงดำอย่างเข้มข้น แต่โอเช็ตกลับคุ้นเคยกับอสูรตัวนี้อย่างประหลาด จนจำได้ในที่สุดว่า...

    เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ครั้งที่โอเช็ตยังเป็นเด็กน้อย ราชสีห์ขาวให้โอเช็ตเลือกสัตว์อสูรคู่ใจตัวใดตัวหนึ่งคือนกฮูกหรือหมาไน ในตอนนั้นขณะที่โอเช็ตเลือกสัตว์อสูรได้แล้วนั้น ปรากฏมวลพลังสีม่วงดำอันแปลกประหลาดห่อหุ้มสัตว์อสูรอีกตัวเข้าจู่โจมโอเช็ต และหลบหนีหายจากไป

    สัตว์อสูรที่อยู่เบื้องหน้าโอเช็ตในปัจจุบัน คืออสูรที่โอเช็ตไม่ได้เลือกในตอนนั้นนั่นเอง (แล้วแต่ว่าเราจะเลือกสัตว์ตัวไหนให้โอเช็ตในตอนแรก บอสตัวสุดท้ายของเนื้อเรื่องจะเป็นอสูรอีกตัว)

    สัตว์อสูรเบื้องหน้าโอเช็ตในตอนนี้ ไม่เหลือเค้าเดิมของสัตว์อสูรตัวน้อยในความทรงจำของโอเช็ตอีกต่อไป ขนาดตัวที่ใหญ่ยักษ์ บาดแผลทั่วร่าง กลิ่นสาปแห่งความตาย สายตาแห่งความเคียดแค้น ดูเหมือนว่าอสูรตนนี้จะเคยพบเจอกับการทรมานอย่างแสนสาหัส และเหตุการณ์คืนจันทร์สีแดงเลือดนี้ได้เปลี่ยนให้มันกลายพันธุ์เป็นอสูรที่อันตรายที่สุดยิ่งกว่าที่ผู้ใดเคยพบเจอ

    โอเช็ตเข้าต่อสู้กับอสูรกลายพันธุ์ด้วยความโศกเศร้า แต่ดูเหมือนแม้แต่เทร่า กลาซิส เหล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังรับมือกับอสูรกลายพันธุ์ด้วยความยากลำบาก ขณะที่ต่อสู้กันนั้นเอง โอเช็ตและสัตว์คู่หูพลาดท่าถูกอสูรกลายพันธุ์จู่โจมอย่างรุนแรงจนปลิวกระเด็นตกเหวลงไปสู่ทะเลที่เบื้องล่าง

    ท่ามกลางร่างกายที่ค่อยๆจมลงสู่ก้นทะเล โอเช็ตค่อยๆรู้สึกตัวจากเสียงเรียกภายใต้จิตสำนึก เมื่อนั้นเองปรากฏลูกไฟสีฟ้าห่อหุ้มตัวโอเช็ตกับอสูรคู่ใจ และพาโอเช็ตกลับขึ้นมาเหนือน้ำอย่างปาฏิหาริย์

    พลังไฟประหลาดที่โอเช็ตได้รับมานี้ ปลดผนึกพลังพิเศษที่ทำให้โอเช็ตสามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของแอคต้าตัวน้อย ให้กลายเป็นแคเธอแรคต้า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานตัวแรกที่เสียชีวิตไป และด้วยการรวมพลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม โอเช็ต สัตว์คู่หู ราชสีห์ขาว ทั้งหมดรวมพลังหมาหมู่จัดการอสูรกลายพันธุ์ได้ในที่สุด

    อสูรกลายพันธุ์ที่ตอนนี้หลงเหลือลมหายใจร่อแร่รวยริน โอเช็ตกลับเข้าไปกอดอสูรตนนั้น สายตาแห่งความเคียดแค้นค่อยๆคลายลง ในที่สุดอสูรตนนี้ก็ได้พบกับความสงบสุขก่อนจะสิ้นใจไปอย่างช้าๆ
    ...
    แสงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า ค่ำคืนอันยาวนานได้สิ้นสุดลง โอเช็ตและพวกกลับมายังหมู่บ้านที่ในขณะนี้เผ่ามนุษย์สัตว์และเผ่ามนุษย์ได้ปรับความเข้าใจกัน หลังจากร่วมมือกันปกป้องเกาะจากภัยพิบัติ เผ่ามนุษย์ตกลงใจยกเลิกการแย่งชิงที่ดิน และอยู่ร่วมกับเผ่ามนุษย์สัตว์อย่างสันติ

    เช้าอีกวันหนึ่ง โอเช็ตพูดคุยกับราชสีห์ขาวจูวา เรื่องลูกไฟปริศนาที่ช่วยโอเช็ตจากตอนตกทะเล
    "สิ่งนั้นเรียกว่า "ไฟแรกกำเนิด" เป็นสิ่งที่ผู้ถูกเลือกเท่านั้นจะมีได้"
    "ยินดีด้วยลูกศิษย์ข้า เจ้าได้เป็นนักล่าที่แท้จริงแล้ว"

    โอเช็ตยินยอมรับสืบทอดตำแหน่งผู้พิทักษ์เกาะต่อจากจูวา ราชสีห์ขาวผู้เป็นอาจารย์ และใช้ชีวิตกับเผ่ามนุษย์สัตว์ในหมู่บ้านโตโตฮาฮาอย่างมีความสุขสืบไป

    - บทแห่งนักล่า -
    -จบบริบูรณ์-

 

 

 

 


Partitio Yellowil พ่อค้าผู้ประกาศสงครามกับความยากจน

นักธุรกิจหนุ่มผู้ใฝ่ฝันอยากออกไปพบโลกกว้าง และนำความสำเร็จกลับมาบ้าน เขามีความเชื่อว่าเทคโนโลยีสามารถเปลี่ยนแปลงและช่วยเหลือผู้คนบนโลกใบนี้ได้ พาทิชิโอมีความสามารถในการซื้อของจากชาวบ้านในตอนกลางวัน และใช้เงินฟาดหัวซื้อตัวชาวบ้านมาเป็นพวกในตอนกลางคืน

  • บทที่ 1

    ในดินแดนอันรกร้าง Theme คาวบอยตะวันตกที่ห่างไกล "แป๊บ และรอค" ชายสองคนผู้มองเห็นโอกาส ตัดสินใจสร้างเมืองที่ตรงนี้และทำเป็นหมู่บ้านเหมืองเงิน จนหมู่บ้านเริ่มเติบโตและเจริญขึ้น พาทิชิโอตัวน้อยก็ค่อยๆเติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน

    จนวันหนึ่ง รอค ตัดสินใจที่จะละทิ้งเมืองและออกเดินทางโดยปฏิเสธคำทัดทานจากแป๊บที่งงว่าเพื่อนจะไปไหน เมืองก็โตเอาๆ อนาคตก็สดใส

    แต่อนาคตอันสดใสกลับอยู่ได้ไม่นาน เมื่อกลุ่มนักเลงถือสัญญาเช่าที่ดินและขูดรีดค่าเช่ามากขึ้นเรื่อยๆ บวกกับแร่เงินที่ค่อยๆลดคุณค่าลง ทำให้เมืองที่เคยเจริญเติบโต กลายเป็นเมืองที่แทบร้าง ผู้คนส่วนใหญ่ก็อพยพออกไป คนที่ยังอยู่ก็อยู่อย่างอดอยากไม่มีงานจะทำ แป๊บ หัวหน้าหมู่บ้านเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก็ทรุดโทรมจนล้มป่วยติดเตียง

    พาทิชิโอ ลูกชายของแป๊บที่อยู่มาตั้งแต่เริ่ม บัดนี้เขาเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว เห็นถึงความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของเมือง เขาตัดสินใจที่จะลุกขึ้นสู้และได้พบความจริงที่ว่า สัญญาเช่าที่ดินมีการเล่นลูกไม้แต่แรก ตั้งแต่วันแรกที่แป๊บกับโร้คทำสัญญาเช่าที่กับเจ้าของที่ดินผู้ลึกลับ พาทิชิโอชิงสัญญาที่เอาเปรียบมาได้ และทวงคืนเงินที่นักเลงขูดรีดมาจากชาวเมืองทำให้เมืองกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง พ่อที่ล้มป่วยก็กลับมาแข็งแรงดังเดิม

    แต่ความจริงอันโหดร้ายเรื่องหนึ่งก็ทำให้พาทิชิโอแทบไม่อยากเชื่อ นั่นคือเจ้าของที่ดินผู้ลึกลับที่วางแผนขูดรีดพ่อของพาทิชิโอ ไม่ใช่ใครอื่นคือ รอค เพื่อนสนิทของพ่อที่สร้างเมืองมาด้วยกันนั่นเอง พาทิชิโอจึงออกเดินทางเพื่อทวงถามความจริง และมีเป้าหมายที่จะสำรวจโลกกว้างนำความสำเร็จกลับมาที่บ้าน

    "ฉันจะกลับมาเมื่อฉันได้กำจัดปีศาจร้ายที่เรียกว่า ความยากจน ออกไปจากโลกใบนี้"

    พาทิชิโอจะทำได้หรือไม่? ความจริงคืออะไร? และคนจนจะหมดประเทศได้จริงหรือ?

  • บทที่ 2

    พาทิชิโอเดินทางตามเซนส์แห่งธุรกิจของตัวเองจนมาถึงเมือง Clockbank เมืองซึ่งมีโรงงานเครื่องจักรไอน้ำอันใหญ่โต ซึ่งกลายเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆมากมาย แต่ภายใต้ฉากหน้าที่เจริญรุ่งเรือง คนในเมืองทั้งคนรวยคนจน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างต้องเดือดร้อนจากการขูดรีด "ภาษีไอน้ำ" นั่นคือเมืองใดที่ใช้ประโยชน์จากเครื่องจักรไอน้ำ ทุกคนในเมืองจะต้องจ่ายภาษีให้ "ร็อค คอมปานี" ผู้ซึ่งถือสิทธิ์เทคโนโลยีนี้ไว้

    พาทิชิโอได้พบกับวิล เด็กขัดรองเท้าผู้มีความฝันจะออกเดินทางทั่วโลกและเลี้ยงดูน้องชาย โอริ สาวน้อยนักหนังสือพิมพ์ผู้จมูกไวต่อข่าวเด็ด และฟลอยด์ หนุ่มนักประดิษฐ์ผู้เป็นทายาทของผู้คิดค้นเครื่องจักรไอน้ำนั่นเอง

    ด้วยความช่วยเหลือของพาทิชิโอ ทำให้ฟลอยด์สามารถผลิตเครื่องจักรไอน้ำรุ่นใหม่ที่ราคาถูกและทนทาน ด้วยหวังผลักดันให้เทคโนโลยีนี้ได้กระจายไปทั่วโลกและช่วยเหลือผู้คน แต่ความฝันก็พังทลายเมื่อร็อคคอมปานีได้ยึดกรรมสิทธิ์ของเครื่องจักรไอน้ำเอาไว้ ละเมิดคำสัญญาปากเปล่าที่ให้ไว้กับปู่ของฟลอยด์ว่าจะสนับสนุนการวิจัยเครื่องจักรไอน้ำรุ่นใหม่เพื่อมวลชน รอคยังคงเล่นลูกไม้กับหนังสือสัญญาทำให้สิทธิ์ขาดของเทคโนโลยีไอน้ำตกเป็นของเขาแต่เะียงผู้เดียว

    พาทิชิโอที่เผชิญหน้ากับตัวการผู้ทำให้เมืองของตัวเองต้องอดอยาก พ่อของตัวเองต้องป่วยแทบตกตาย ได้รับคำตอบตรงไปตรงมาว่ารอคตั้งใจจะหลอกพ่อของพาทิชิโอตั้งแต่แรก แต่นั่นคือเรื่องของธุรกิจ ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว พาทิชิโอเสนอเงื่อนไขตามกฏของนักธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา ว่าต้องการซื้อกรรมสิทธิ์ของเครื่องจักรไอน้ำ
    "ได้สิ แต่เมื่อแกบอกว่าเทคโนโลยีนี้มันสามารถช่วยเหลือโลกใบนี้ได้ ฉันก็จะขายในราคาที่เหมาะสมกับมูลค่าของมัน"
    "ฉันจะขายให้แกในราคา 8 หมื่นล้าน"
    "ตกลง"
    พาทิชิโอตอบโดยไม่ต้องคิด และเป้าหมายต่อไปของเขาคือ "อัลรอน" มหาเศรษฐีที่ได้ชื่อว่ามีสมบัติไม่น้อยไปกว่ารอค และหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

    หลังจากนั้นไม่นาน หนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งได้ลงข่าวที่สะเทือนวงการธุรกิจ
    "พาทิชิโอ พ่อค้าพเนจรผู้ประกาศซื้อกรรมสิทธิ์เครื่องจักรไอน้ำในราคา 8 หมื่นล้าน"

    "เทคโนโลยีถือกำเนิดขึ้นเพื่อทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น นั่นคือมูลค่าที่แท้จริงของมัน ไม่ใช่เพื่อสร้างความร่ำรวยให้ใครคนใดคนหนึ่ง"

  • บทที่ 3

    พาทิชิโอเดินทางมายังเมือง Wellspring เมืองที่เล่าลือว่ามี "อัลรอน" มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดของทวีปตะวันตก เคียงคู่กับรอค มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของทวีปตะวันออก ระหว่างเดินเที่ยวในเมืองนั้นเอง เขาได้พบกับชายหนุ่มหน้ามนกำลังจะซื้อของที่พ่อค้าแถวนั้นย้อมแมวขาย ด้วยสายตาอันเฉียบคม พาทิชิโอได้เข้าไปขัดขวาง ชายหนุ่มนั้นขอบคุณพาทิชิโอเป็นอันมากจึงขอเลี้ยงเขาสักกรึ๊บ พาทิชิโอจึงได้ข้อมูลความร่ำรวยเกี่ยวกับอัลรอน และวิธีที่จะเข้าหาเขา

    เมื่อพาทิชิโอมีโอกาสได้เข้าไปยังคฤหาสถ์ของอัลรอน เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่ออัลรอน โคตรมหาเศรษฐีไม่ใช่ใครอื่น เป็นชายหนุ่มหน้ามนที่เขาพบโดยบังเอิญในเมืองนั่นเอง พาทิชิโอขอเงินอย่างตรงไปตรงมาพร้อมเล่าถึงเป้าหมายของเขาที่ต้องการช่วยเหลือผู้คนผ่านเทคโนโลยีเครื่องจักรไอน้ำ อัลรอนประทับใจในตัวของพาทิชิโอเป็นอันมาก แต่ก็ยื่นเงื่อนไขเพื่อพิสูจน์ตัวเอง นั่นคือการทำให้เมืองเวลสปริงแห่งนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เนื่องจากในรุ่นพ่อพยายามใช้เงินแก้ปัญหา แต่กลับไม่อาจทำให้เมืองคึกคักได้ ชาวบ้านที่ได้รับแจกเงินมาง่ายๆ บ้างก็เลิกทำงาน บ้างก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น คงเหลือแต่เมืองที่ผู้คนวันๆแทบไม่ทำอะไร อาศัยบัตรคนจนกับสิทธิ์คนละครึ่ง (อันนี้ไม่ใช่ละ)

    พาทิชิโอตัดสินใจพลิกฟื้นเมืองนี้ด้วยไอเดีย "ห้างสรรพสินค้า" เปลี่ยนอาคารรกร้างให้กลายเป็นศูนย์การค้าที่มีทุกสิ่งอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครเคยทำในขณะนั้น พร้อมกับไปตามเมืองต่างๆเพื่อซื้อสินค้าโอทอปของแต่ละเมืองนำมาขายในห้างแห่งนี้ ตั้งชื่อว่า "ห้างสรรพสินค้าอัลรอน"

    ความคิดของพาทิชิโอได้ผลดีเกินคาด เมื่อมีสถานที่ที่รวมสินค้านานาชนิดจากทุกภูมิภาค ผู้คนต่างก็แห่กันมาจับจ่ายซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ จนเมืองเวลสปริงกลับมาเป็นสถานที่ที่คึกคักมีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่ในขณะที่พาทิชิโอกลับมาจากการเร่ซื้อของจากต่างเมืองนั่นเอง กลับพบว่าคฤหาสถ์ของอัลรอนมีหมอกประหลาดปกคลุมไปทั่ว ด้วยความรู้สึกเป็นลางร้ายแปลกๆ พาทิชิโอรีบกลับไปที่คฤหาสถ์และได้พบกับ "เทิร์สตัน" อดีตเลขาของรอคที่ถูกไล่ออกเนื่องจากความพ่ายแพ้ต่อพาทิชิโอในบทที่แล้ว เทิร์สตันโยนความผิดทั้งหมดมาที่พาทิชิโอ และนำหุ่นยนต์ที่ประกอบไปด้วยพลังงานไอน้ำ มาสู้กับพาทิชิโอเพื่อหวังล้างแค้น

    หลังจากเอาชนะเทิร์สตันและหุ่นไอน้ำได้ในที่สุด พาทิชิโอเสนอเงื่อนไขว่าจ้างเทิร์สตันในการจัดการเรื่องธุรกิจไอน้ำหากเขาซื้อสิทธิ์มาได้ จากนั้นพาทิชิโอก็พาอัลรอนไปดู "ห้างสรรพสินค้าอัลรอน" ซึ่งกลายเป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุดของเมืองเวลสปริงไปแล้ว อันรอนประทับใจเป็นอันมากและส่งมอบเช็คมูลค่า 8 หมื่นล้านให้พาทิชิโอ และแน่นอน จุดหมายต่อไปคือการกลับไปหารอค พร้อมกับคำเตือนจากอัลรอนว่า "อย่าไว้ใจชายคนนั้น"

  • บทที่ 4 บทสุดท้าย

     พาทิชิโอนำเช็คมูลค่า 8 หมื่นล้านเดินทางไปยังเกาะรอค เกาะที่ตั้งตามชื่อเจ้าของ ซึ่งเป็นเกาะส่วนตัวที่รอคสร้างเป็นโรงงานผลิตขนาดใหญ่ และวันนี้เป็นวันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของรอค "เครื่องจักรไอน้ำนีโอ"

    เหล่านักข่าวมืดฟ้ามัวดินต่างเดินทางมาทำข่าวการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ แต่พาทิชิโอไม่สามารถเข้างานได้เนื่องจากไม่มีบัตรผ่าน แต่ด้วยความช่วยเหลือของโอรินักข่าวสาว พาทิชิโอลอบเข้าไปในโรงงาน ทั้งสองถูกยามโรงงานพบเข้า แต่ด้วยการ "สละชีพ" ของโอริ (จริงๆแค่แกล้งเจ็บขาเพื่อซื้อเวลาให้พาทิชิโอหนี) พาทิชิโอก็สามารถทะลุโรงงานมาที่งานแถลงข่าวได้ในที่สุด

    พาทิชิโอทวงสัญญาซื้อขายลิขสิทธิ์เครื่องจักรไอน้ำ แต่ก็เป็นไปตามคาด รอคยังคงเหลี่ยมด้วยการทวงถามเงินสดไม่ยอมรับเช็ค แต่ทันใดนั้นเอง เรือขนาดใหญ่บรรทุกเงินจำนวนมหาศาลมาจอดเทียบท่ากลางงานแถลงข่าว เป็นเรือของอัลรอนนั่นเองที่คาดการณ์ไว้ว่ารอคต้องเล่นไม่ซื่อ ท่ามกลางสายตาของเหล่านักข่าว รอคไม่สามารถเล่นลูกไม้ได้อีกต่อไป จำใจต้องยอมรับการซื้อขายลิขสิทธิ์ในครั้งนี้

    เรื่องราวเหมือนจะจบลง แต่รอคไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ เขากลับเข้าไปในโรงงานและนำรถไฟพลังไอน้ำที่ติดอาวุธครบมือหวังจะจัดการพาทิชิโอ แต่สุดท้ายด้วยพลังพระเอก พาทิชิโอก็เอาชนะรถจักรสงครามของรอคมาได้

    รอคที่บัดนี้ยินยอมรับความพ่ายแพ้อย่างหมดท่า เขาย้อนนึกถึงตัวเองในอดีตที่มีความฝัน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขากลายเป็นคนบูชาเงิน ทำได้ทุกอย่าง หักหลักได้ทุกคนเพื่อเงิน รอคที่ทอดถอนใจทำใจรอรับความตายจากการระเบิดของโรงงานในเวลาอันใกล้ แต่พาทิชิโอกลับเลือกที่จะ "จ้าง" รอคให้มาร่วมงานกับเขาอีกครั้ง...
    ...
    รอคกลับมาร่วมงานกับแปบ พ่อของพาทิชิโอที่หมู่บ้านเหมืองเงินอีกครั้งและร่วมกันพัฒนาเมืองแห่งนี้ให้เติบโต บริษัท พาทิชิโอ&รอค กลายเป็นบริษัทที่ส่งมอบเครื่องจักรไอน้ำให้แก่เมืองต่างๆ จ้างงานเหล่าคนยากไร้ให้มีงาน มีเงิน และยกเลิกภาษีไอน้ำที่ขูดรีด โลกใบนี้กำลังเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีไอน้ำกำลังช่วยเหลือผู้คนบนโลกใบนี้ดังที่พาทิชิโอเคยกล่าวไว้จริงๆ

    ส่วนพาทิชิโอก็ยังคงวุ่นวายกับการเดินทางไปรอบโลก ตามความฝันที่จะต่อสู้กับความยากจนบนโลกใบนี้ให้หมดไป

    - บทแห่งพ่อค้า -
    -จบบริบูรณ์-

 

 

 

 

Agnea Bristarni แดนเซอร์น้อยในทุ่งลาเวนเดอร์

นักเต้นสาวโลกสวยผู้มีความฝันอยากเป็นซูเปอร์สตาร์เหมือนผู้เป็นแม่ มีความสามารถในการเต้นเพื่อล่อลวงคนมาช่วยในเวลากลางวัน และร้องขอทิปจากชาวบ้านในเวลากลางคืน (ขอทานชัดๆ)
ขอเชิญพับกบ (พบกับ) เรื่องราวของตัวละครที่กาวที่สุด ลาสบอสที่ปวดประสาทที่สุดในเกม ณ บัดนี้

  • บทที่ 1

    กาลครั้งหนึ่งไม่ค่อยนานเท่าไหร่ ในหมู่บ้านชนบทอันห่างไกล นักเต้นสาวดาวรุ่งได้พบรักกับนักทอผ้าหนุ่ม และอยู่กินกันจนมีลูกสาวหนึ่งคนคือแอคเนีย

    แอคเนียสูญเสียแม่ไปตั้งแต่เล็ก เหลือเพียงพ่อที่เข้มงวดกับน้องสาวอีกคน แอคเนียอยากออกไปอ้อร้อนอกหมู่บ้านมากแต่ติดเงื่อนไขของพ่อว่า ถ้าอยากออกจากหมู่บ้านต้องหาเงินให้ได้ 10,000 จากการเต้น และในที่สุดแอคเนียก็เก็บเงินจนครบ

    ในวันงานเทศกาลของหมู่บ้าน แอคเนียที่วุ่นวายกับการช่วยงานคนในหมู่บ้านก็มีเพื่อนมาบอกว่าน้องสาวหายตัวไป น่าจะไปเอาสมุนไพรในป่า แอคเนียกับเพื่อนในวัยเด็กจึงเข้าป่าเพื่อออกตามหาน้อง แต่กลับไปเจอหมู่ป่ายักษ์ดุร้ายที่ตามกลิ่นอาหารมา หากปล่อยไว้หมูป่าคงไปทำลายงานเทศกาลแน่ๆ แอคเนียกับเพื่อนจึงจัดการหมูป่าได้สำเร็จ เจอน้องสาว แล้วพากันกลับมาที่หมู่บ้าน แต่ต้องมาเจอพ่อที่ยืนรออยู่

    "จะไปเต้นยังไงสภาพชุดยับเยินเลยอีหนู"
    "หนูขอโทษค่ะพ่อ"
    "อะเอาชุดนี้ไป นี่คือชุดของแม่ลูก แม่ของลูกก็ชอบช่วยเหลือคนอื่นเหมือนลูกนั่นแหละ"

    แอคเนียมองพ่อผู้เข้มงวดมาตลอดด้วยความประหลาดใจ หลังงานเทศกาลแอคเนียจึงตัดสินใจออกเดินทางเพื่อไปอ้อร้อ เอ้ย เพื่อไปตามความฝันการเป็นซูเปอร์สตาร์ แอคเนียจะพบเจอเรื่องราวใด จะหาปั๋วได้หรือไม่

  • บทที่ 2

    แอคเนียเดินทางมายังมหานครนิวเดลสตาร์ เมืองใหญ่ที่มีโรงมหรสพที่มีชื่อเสียงโด่งดัง วันนี้มีการแสดงของซูเปอร์สตาร์แห่งยุค "โดลชิเนอา ลูเชีย" นักร้องและนักเต้นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยมีคนใจดีให้ตั๋วแก่แอคเนีย จึงได้มีโอกาสเข้าไปดูและประทับใจเป็นอันมาก

    แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่ได้โชคดีเช่นนั้น ชายหนุ่มผู้หนึ่งถูกยามไล่ตะเพิดเนื่องจากพยายามลอบเข้าไปดูการแสดงโดยไม่มีตั๋ว แต่ชายผู้นั้นก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นแอคเนียซึ่งยังฟินกับการแสดง ยืนเต้นอยู่หน้าโรงละคร ชายหนุ่มผู้นี้จึงเข้าไปทักทายและแนะนำตัวว่าชื่อ "กิล"

    กิลเป็นเจ้าของบาร์เล็กๆในตรอกย่านคนจน ด้วยความประทับใจในการเต้นของแอคเนีย จึงชวนแอคเนียมาจิบกาแฟที่บาร์ บาร์เล็กๆซอมซ่อดูจะไม่ค่อยมีลูกค้ามากนัก แต่ที่สะดุดตาคือมีเปียโนตัวใหญ่ซึ่งเหมือนถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้งานมาอย่างยาวนาน แอคเนียจึงเสนอตัวเป็นนักเต้นในบาร์แห่งนี้

    ไม่นาน มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาดูแอคเนียไม่ได้ขาด ผู้คนต่างรู้สึกมีพลังเมื่อได้เห็นการเต้นของแอคเนีย แม้แต่กิลซึ่งเคยมีความฝันอยากเป็นนักเปียโน แต่ก็ต้องยอมแพ้เพราะรู้ตัวว่าไม่มีพรสวรรค์ จนอยู่เป็นเพียงเจ้าของบาร์เล็กๆเท่านั้น
    "มีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะได้เป็นดาวค้างฟ้า คนที่เหลือเป็นได้แค่ละอองดาวกลางสายลม"

    แต่แล้ววันหนึ่ง ผู้จัดการของโรงมหรสพไม่พอใจที่บาร์ของกิลที่เคยซบเซามีลูกค้ามากเกินหน้าเกินตา เขาจึงนำนักเลงมาถล่มร้านจนพังยับเยิน แอคเนียที่ตามมาเห็นไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงบุกเข้าไปในโรงละครเพื่อพูดคุยกับผู้จัดการ

    หลังจากการคุย (ด้วยกำลัง) ผู้จัดการยังไม่มีทีท่าจะยอมแพ้ แต่เมื่อนั้นเอง โดลชิเนอา นักร้องใหญ่ที่เห็นเหตุการณ์ไม่พอใจที่ผู้จัดการทำเช่นนี้ จึงบังคับให้ผู้จัดการยอมสัญญาว่า ต่อจากนี้จะไม่ไปยุ่งกับบาร์ของกิลอีก

    เรื่องราวจบลงด้วยดี กิลที่เริ่มมีความฮึกเหิมตัดสินใจจับเปียโนเล่นอีกครั้ง แต่เขาเองรู้ดีว่า เส้นทางของแอคเนียยังไปได้ไกลกว่าการจมปลักอยู่ที่นี่มากนัก จึงกระตุ้นเตือนให้แอคเนียเดินทางต่อ เพื่อสานฝันการเป็นซูเปอร์สตาร์ให้สำเร็จ ก่อนจากกันกิลได้มอบโน้ตเปียโนที่ตนเองแต่งขึ้นให้แก่แอคเนีย มีชื่อว่า "บทเพลงแห่งความหวัง" แอคเนียสัญญาว่าจะนำมันไปใส่เนื้อร้อง และจะทำให้เพลงนี้โด่งดังขึ้นให้ได้

    แอคเนียออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อก้าวสู่การเป็นดาวอย่างที่ตั้งใจ โดยไม่รู้เลยว่า "โดลชิเนอา ลูเชีย" ดูจะไม่ใช่คนใจดีอย่างที่คิดไว้ เธอมีแผนการบางอย่างที่เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว...

  • บทที่ 3

    แอคเนียเดินทางมาถึงหมู่บ้านโทรปูโฮปู หมู่บ้านเล็กๆติดทะเลที่มีเอกลักษณ์คือเวทีแสดงกลางน้ำ ที่นี่แอคเนียได้พบกับคณะละครเร่ซึ่งเกวียนติดหล่ม นอกจากจะช่วยเรื่องเกวียนแล้ว แอคเนียยังช่วยจีเซล หัวหน้าคณะละครเร่ให้กลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง

    มิตรภาพครั้งใหม่แม้จะสั้น แต่ก็งดงาม คณะละครเร่เห็นถึงเสน่ห์ของแอคเนียและแนะนำให้แอคเนียเข้าร่วม "แกรนด์ กาล่า" มหกรรมการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีปในอีกไม่นานนี้

    แอคเนียยังได้ข้อมูลจากจีเซลที่คุ้นเคยกับนามสกุลของแอคเนียว่า แม่ของแอคเนียซึ่งเคยเป็นนักเต้นที่มีชิ่อเสียงของทวีปฝั่งตะวันตก "บริสทาร์นี่" (นามสกุลแม่ของแอคเนีย) เคยโด่งดังอยู่ที่หมู่บ้านไซทางตะวันตกเมื่อราว 20 ปีที่แล้ว แอคเนียจึงตัดสินใจไปยังที่นั่น เพื่อที่จะได้รู้จักแม่ผู้ล่วงลับของเธอมากยิ่งขึ้น

  • บทที่ 4

    แอคเนียมาถึงหมู่บ้านไซ หมู่บ้านเล็กๆกลางทะเลทราย ที่นี่ แอคเนียได้พบกับรูปปั้นหญิงสาวผู้หนึ่งในท่วงท่าที่คุ้นเคย มันคือท่าเต้น "มูนสเตป" ท่าเต้นประจำของแอคเนียนั่นเอง

    "ควานี่ บริสทาร์นี่" คือชื่อของหญิงสาวผู้เป็นต้นแบบของรูปปั้นนี้ และเป็นแม่ของแอคเนีย ควานี่เคยมาที่นี่เมื่อ 20 ปีก่อน ช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านที่อดอยาก และมอบความหวังให้ผู้คนผ่านการเต้นรำ รูปปั้นนี้จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งความหวังของหมู่บ้าน

    "ความหวังไม่มีหรอกในที่เฮงซวยแห่งนี้น่ะ ไร้สาระ"
    ไลลา เด็กสาวในหมู่บ้านกล่าวพร้อมเอาสีมาสาดรูปปั้น เด็กในหมู่บ้านยุคนี้ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า "การเต้นรำ" ด้วยซ้ำ เนื่องจากเหล่าผู้ใหญ่ในหมู่บ้านต่างออกไปหางานทำด้านนอก เหลือไว้เพียงเหล่าเด็กๆและคนชราที่คอยดูแลหมู่บ้าน ด้วยความแห้งแล้งทำให้คนในหมู่บ้านต้องอยู่อย่างอดอยาก หลงเหลือเพียงคนเฒ่าคนแก่ที่รู้ความหมายของรูปปั้นนี้

    แต่แล้วแอคเนียก็ได้สอนไลลาให้รู้จักการเต้น ให้รู้จักความสนุกสนาน รู้จักความสุขในชีวิต ผู้เฒ่าที่ยืนมองแอคเนียสอนไลลาเต้นด้วยความอิ่มเอมใจ พลางนึกถึงเด็กสาวในอดีตผู้หนึ่ง

    "โดลชิเนอา" เด็กสาวกำพร้าในหมู่บ้านไซ ซึ่งได้พบกับควานี่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ได้เรียนรู้การเต้นรำและร้องเพลง จนในที่สุดก็ได้มาเป็นซูเปอร์สตาร์ในปัจจุบัน

    แต่โดลชิเนอาในวันนี้ มีแผนจะทำลายหมู่บ้านไซทิ้งทั้งหมด เพื่อสร้างเป็น "โดลชิเนอาแลนด์" เนื่องจากไม่ยอมรับที่ตัวเองมีชาติกำเนิดอันต่ำต้อย จึงต้องการจะลบอดีตของตัวเองทิ้ง

    โดลชิเนอาส่งคนมาทำลายหมู่บ้าน ส่วนตัวเองขึ้นบนภูดูความสนุกสนาน เหล่าชาวบ้านต่างเข้าช่วยกันขัดขวางขณะที่แอคเนียรีบตามไปเผชิญหน้ากับโดลชิเนอา แต่แอคเนียก็ต้องปะทะกับเวโรนิก้า บอดี้การ์ดประจำตัวของโดลชิเนอา หลังเอาชนะได้ โดลชิเนอารับรู้ได้ว่าเด็กสาวตรงหน้า คือลูกสาวของอดีตอาจารย์ของตัวเอง

    "คุณโดลชิเนอา การเป็นดาวน่ะ จะต้อง..."
    "ต้องมอบรอยยิ้มให้ผู้คนสินะ"
    "ไร้สาระ ที่ฉันเป็นซูเปอร์สตาร์อย่างทุกวันนี้ ก็เพื่อพิสูจน์ตัวเอง เพื่อความสุขของตัวเองต่างหาก"
    "รับนี่ไป นี่คือบัตรเชิญการแสดงหลักในงานแกรนด์กาล่า เรามาพิสูจน์กันที่นั่น ว่าใครกันจะเป็นซูเปอร์สตาร์ตัวจริง"

    โดลชิเนอามอบบัตรเชิญให้แอคเนียก่อนนำลูกน้องถอนกำลังจากไป แอคเนียกลับมาที่หมู่บ้านและพบว่า "รูปปั้นแห่งความหวัง" ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี หมู่บ้านนี้ไม่หลงเหลือความหวังอีกต่อไปแล้ว...

    "ใครบอก ความหวังยังมีอยู่ อยู่ที่นี่ยังไงล่ะ"
    ไลลา เด็กสาวในหมู่บ้านกล่าวพร้อมเต้นเบื้องหน้าซากรูปปั้นที่พังทลาย แอคเนียยิ้มและร่วมเต้นกับไลลาด้วยกันต่อหน้าเหล่าชาวหมู่บ้านไซที่ยังหลงเหลืออยู่

    ในที่สุดแอคเนียก็จากลา เป้าหมายเบื้องหน้าชัดเจนแล้ว คือการเอาชนะโดลชิเนอาในงานแกรนด์กาล่าให้จงได้ แอคเนียให้สัญญากับไลลาและคนในหมู่บ้านว่า ตัวเองจะต้องกลับมา และคืนความสุขให้ชาวหมู่บ้านไซอีกครั้ง

  • บทที่ 5 บทสุดท้าย

    ในที่สุดแอคเนียก็เดินทางมาถึงเมืองเมอรี่ฮิล เมืองที่กำลังจัดงานแกรนด์กาล่า งานมหรสพครั้งใหญ่ที่เหล่าศิลปิน ดารา นักร้อง มารวมตัวกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งประดุจดังเทศกาลดนตรีระดับโลก แต่เพิ่งเข้ามาถึงเขตเมืองแอคเนียก็ถูกทักทายด้วยชายน่าสงสัยสองคน ที่พยายามลักพาตัวแอคเนียไปหา "เจ้านาย" ผู้ลึกลับ แต่ไหนเลยตัวประกอบไร้ชื่อจะรับมือนางเอกได้

    หลังจัดการลิ่วล้อกี้ๆที่ไม่มีแม้แต่ชื่อลง แอคเนียได้พบกับคนคุ้นหน้าคุ้นตามากมาย ทั้งกลุ่มคณะละครเร่ของจีเซล กิลนักเปียโนเจ้าของบาร์ ไลลาสาวน้อยจากหมู่บ้านทะเลทราย ทุกคนต่างได้ยินข่าวลือที่โดลชิเนอา ซูเปอร์สตาร์แห่งยุคถูกตาต้องใจนักเต้นสาวคนหนึ่งจนเชิญมาแสดงในงานแกรนด์กาล่า แต่ก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นแอคเนียถือบัตรเชิญการแสดงซึ่งมีแต่สุดยอดสตาร์ที่โลกยอมรับเท่านั้นจะได้รับบัตรเชิญนี้ นักเต้นผู้ลึกลับที่โด่งดังไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแอคเนียเอง

    ดูเหมือนเจ้านายผู้ลึกลับยังไม่ละความพยายาม ส่งเหล่าตัวประกอบมาขัดขวางแอคเนียอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากผองเพื่อนที่ช่วยขัดขวาง แอคเนียเดินทางเข้าสู่โรงมหรสพขนาดยักษ์ได้เป็นผลสำเร็จ

    แต่แล้วอีกก้าวเดียวที่จะเข้าเขตเวที แอคเนียถูกขัดขวางจาก "เจ้านาย" ที่ส่งคนมาราวีแอคเนียในเมืองไม่หยุด เจ้านายผู้นี้คือผู้จัดการโรงมหรสพในเมืองนิวเดลสตาร์นั่นเอง และดูจากสีหน้าท่าทาง เขามีความแค้นกับแอคเนียอย่างลึกล้ำ

    "นังเด็กเวร แกไม่รู้หรอกว่าฉันต้องพบเจอกับอะไรบ้าง"
    "ฉันยังจำได้ดีเหมือนมันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ระหว่างทางกลับบ้านหลังจากความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายนั้น"
    "ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วก็ไปมีเรื่องกับหมาจรจัด"
    "แต่ไอ้หมาขี้เรื้อนนั้นเจือกไม่เห่าสักคำ ไม่พูดไม่จากัดอย่างเดียว"
    "เท่านั้นยังไม่พอ มันยังยกพวกเป็นสิบมารุมกัด จนฉันเกือบจะถูกกินทั้งเป็น"
    "เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันต้องอับอายเช่นนี้ ฉันจะไม่มีวันอภัยให้แก ไม่มีวัน!!!"
    "อ๊อคคคคคคคค!!?"

    ยังไม่ทันที่แอคเนียจะทันตั้งตัว ผู้จัดการตัวร้ายที่พุ่งเข้าใส่แอคเนียก็ต้องร้องเสียงหลง เมื่อเวโรนิก้า บอดี้การ์ดของโดลชิเนอา ซัดหมัดตรงเข้าพุงกะทิอย่างจัง เนื่องจากแอคเนียมาช้าผิดปกติ เวโรนิก้าจึงออกมาตามแอคเนียและได้พบเหตุการณ์ดังกล่าว

    บัดนี้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว แอคเนียก้าวเท้าเข้าสู่เวทีตะวันและจันทรา เวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีป เวทีซึ่งมีแต่นักเต้นสุดยอดแห่งแผ่นดินเท่านั้นที่จะได้รับเกียรติขึ้นแสดง โดลชิเนอายืนรออยู่พร้อมด้วยเสียงเชียร์โดลชิเนอาจากผู้ชมรอบข้างนับไม่ถ้วน ทั้งแอคเนียและโดลชิเนอาต่างงัดเอาทักษะการเต้นมาใช้อย่างเต็มที่ (ขอเชิญพบกับลาสบอสที่ปวดประสาทที่สุดใน 8 ตัวละคร)

    แต่ด้วยเสียงเชียร์ฝั่งโดลชิเนอาอันล้นหลาม แอคเนียเริ่มอ่อนแรง วินาทีที่แอคเนียกำลังจะถอดใจยอมแพ้นั่นเอง เสียงตะโกนเรียกชื่อแอคเนียดังขึ้นจากมุมหนึ่งของที่นั่งคนดู

    เป็นพ่อของแอคเนีย ซึ่งขนน้องสาว เพื่อนสมัยเด็ก และคนในหมู่บ้านมาร่วมเชียร์ คุณพ่อและผองเพื่อนตะโกนเชียร์แอคเนียอย่างเต็มกำลัง แอคเนียลุกขึ้นมาอีกครั้ง เธอไม่ได้สู้เพียงลำพัง ตลอดทางแอคเนียได้พบกับความงดงามของมิตรภาพ ความรักของครอบครัว และมรดกที่แม่ผู้ล่วงลับถ่ายทอดไว้ให้

    "ความสุขของการมอบรอยยิ้มให้ผู้อื่น"

    แอคเนียลุกขึ้นมาอีกครั้ง บทเพลงที่ยังไม่เสร็จที่แอคเนียได้รับจากกิลนักเปียโน บทเพลงที่มีแต่ทำนอง บัดนี้แอคเนียสามารถเติมเต็มเนื้อร้องโดยสมบูรณ์แล้ว

    "บทเพลงแห่งความหวัง"

    ทั้งแอคเนียและโดลชิโนอาต่างทุ่มเทพลังทั้งหมดให้กับการเต้นในครั้งนี้ (ขอเชิญพบกับลาสบอสที่ปวดประสาทที่สุดใน 8 ตัวละครอีกครั้ง และรอบนี้ยิ่งชวนปวดประสาทกว่าเดิม) ในที่สุดทั้งสองมาถึงขีดจำกัด ต่างฝ่ายต่างล้มลง โดลชิโนอาเริ่มรำลึกถึงความทรงจำครั้งยังเยาว์วัย ครั้งยังเป็นเพียงเด็กน้อยที่เรียนรู้การเต้นจากแม่ของแอคเนีย ครั้งที่ตัวเองยังเป็นเพียงเด็กกำพร้าสกปรกมอมแมม

    "ไม่ไหวแล้ว หนูเต้นต่อไปไม่ไหวแล้ว"
    "ลุกขึ้นสิโดลชิเนอา การแสดงยังไม่จบ"
    "ไม่มีใครอยากดูการเต้นของเด็กสกปรกอย่างฉันหรอก"
    "ไม่จริงเลย เวลาที่เธอเต้นรำเพื่อรอยยิ้มของผู้อื่น เธอได้ส่องประกายสว่างไสวที่สุดแล้ว"

    ทั้งแอคเนียและโดลชิเนอาต่างล้มลงอย่างอ่อนแรง โดลชิเนอาไม่สามารถเรียกกำลังลุกขึ้นเต้นได้อีกต่อไป แต่แอคเนียยังคงลุกขึ้นด้วยความมุ่งมั่น ความตั้งใจที่จะมอบความสุขให้ผู้ชม โดลชิเนอายิ้มอย่างสงบ เป็นความสงบที่นางไม่เคยรู้สึกมาเนิ่นนาน นางยอมรับความพ่ายแพ้จนหมดหัวใจ

    "เธอนั่นแหละคือดาวตัวจริง แอคเนีย"

    หลังลงจากเวที เหล่ามิตรสหายต่างเข้ามาห้อมล้อมให้กำลังใจ จะมีก็แต่คุณพ่อที่อายเกินกว่าจะมาพบแอคเนีย (แต่ตอนเชียร์ตะโกนเสียงดังกว่าเพื่อน) ทุกคนต่างรู้สึกแบบเดียวกัน การแสดงของแอคเนียตรึงใจผู้คนอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แม้กระทั่งผู้จัดการตัวแสบ (ที่โดนหมากัด) ยังขอสมัครเป็นแฟนคลับแอคเนียกับเขาด้วยอีกคน

    แต่เหมือนทุกคนยังคงอารมณ์ค้าง เสียงตะโกนเริ่มดังจากฝั่งผู้ชมอีกครั้ง "เอาอีก เอาอีก" ดูเหมือนว่าซูเปอร์สตาร์ดวงใหม่จะไม่ได้พักง่ายๆ เสียแล้ว....

    - บทแห่งนักเต้น -
    -จบบริบูรณ์-

 

 

 

 

 


Throne Anguis โจรสาวผู้ใฝ่หาอิสรภาพ

จอมโจรผู้เติบโตมาในองค์กร "อสรพิษดำ" ซึ่งเป็นองค์กรใต้ดินที่ทำงานสกปรกทุกอย่าง ปล้น ฆ่า ทำลาย ถือเป็นองค์กรที่คอยควบคุมเมืองอย่างลับๆ มีหัวหน้าสูงสุด 2 คนคือ "คุณพ่อ" ผู้คอยถ่ายทอดสรรพวิชาด้านมืดทุกอย่าง และ "คุณแม่" ผู้เลือกหาเด็กกำพร้ามาเป็นสมาชิก และคอยลงโทษคนที่ทำผิดกฏ โทรเน่มีความสามารถประกอบการค้าไร้ต้นทุน (ขโมยนั่นแหละ) จากผู้คนในตอนกลางวัน และลอบโจมตีให้คนสลบไสลในตอนกลางคืน

  • บทที่ 1

    โทรเน่ ปิโร่ สการัจจิ และดอนนี่ สี่สหายผู้ได้รับงานให้มาขโมยของในบ้านเศรษฐีแห่งหนึ่ง ซึ่งควรจะเป็นงานง่าย ๆ แต่เหยื่อกลับล่วงรู้ และกลับกลายเป็นผู้ล่าแทน พวกเขาต้องพยายามหลบหนีการตามล่า ทว่าเส้นทางที่เตรียมไว้กลับถูกปิดตาย จนทำให้ดอนนี่ได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิต แม้พวกเขาทั้งสามจะหลบหนีมาได้แต่ก็มาแบบทุลักทุเล ปัญหาคือเหยื่อล่วงรู้ได้อย่างไร คิดได้อย่างเดียวว่าต้องมีคนทรยศในองค์กรเป็นแน่

    โทรเน่ที่กลับรังเพื่อไปรายงานองค์กร ก็ถูกทักทายอย่างอบอุ่นด้วยคมมีดของ "คุณพ่อ" ซึ่งค่อนข้างจะถูกใจโทรเน่เป็นพิเศษ และฝากความหวังในการเป็นหัวหน้าองค์กรรุ่นต่อไปกับโทรเน่ แต่ผิดกับ "คุณแม่" ที่ดูจะไม่ชอบขี้หน้าโทรเน่เท่าใดนักและใช้แส้ลงโทษโทรเน่ต่อหน้าสมาชิกองค์กรด้วยความผิดที่ทำให้งานล้มเหลว ดูเหมือนสการัจจิจะบอกคุณแม่ว่าความผิดทั้งหมดเป็นของโทรเน่ แต่ปิโร่เพื่อนร่วมทีมกลับออกมาปกป้องโทรเน่และรับโทษแทน

    เช้าวันถัดมา โทรเน่ที่ชินชากับการถูกลงโทษตั้งแต่เด็ก ได้แต่ออกมายืนเหม่อมองทิวทัศน์เมืองอยู่บนดาดฟ้า ปิโร่ที่เอาอาหารตามมาให้พร้อมกับยื่นบุหรี่ให้โทรเน่
    "สักมวนมั้ย"
    "ไม่ล่ะ ฉันไม่สูบ"
    "เธอควรสูบนะ มันเป็นความสุขเพียงเล็กน้อยที่พอจะหาได้ในชีวิตอันบัดซบนี้"
    "ฉันอยากมีชีวิตอยู่ไปนานๆ"
    "555 งั้นเธอก็เลือกสายงานผิดแล้วแหละ"

    โทรเน่ที่ถูกคุณพ่อเรียกไปมอบหมายภารกิจ ได้รับข้อมูลว่าพบคนทรยศแล้ว นั่นคือสการัจจิ เพื่อนร่วมทีมของเธอนั่นเอง หลักฐานคือพบว่าสการัจจิจะแอบลอบเข้าไปหาเศรษฐีคนเดิมในคืนนี้ ภารกิจก็คือ ฆ่าทั้งสการัจจิและเศรษฐีนั่นซะ เพราะบทลงโทษเดียวของผู้ทรยศคือความตาย

    โทรเน่ที่ครั้งนี้ลอบเข้าไปคนเดียวและเร้นกายไปถึงที่หมายกลับพบว่าในคฤหาสถ์มีร่องรอยการต่อสู้ มีศพคนในบ้านตายตามรายทาง โทรเน่ตามไปสุดทางจนพบศพของเศรษฐี และศพของสการัจจิ ในระหว่างที่สับสนกับเหตุการณ์นั้นเอง เสียงมีดบินฝ่าอากาศเข้ามาทางด้านหลังทำให้โทรเน่ตื่นจากภวังค์และหลบหลีกตามสัญชาติญาณอย่างฉิวเฉียด แต่ต้องตกใจเมื่อพบว่าเจ้าของมีดสังหารนั้นคือปิโร่ เพื่อนสนิทของเธอนั่นเอง

    โทรเน่ได้ฟังความจริงอันน่าสลด ไม่มีคนทรยศอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นแผน แผนของคุณพ่อคุณแม่ แผนที่จะให้โทรเน่และเพื่อนในทีมฆ่ากันเองเพื่อคัดเลือกคนสุดท้ายที่จะมาเป็นผู้สืบทอด
    "เห็นไหมโทรเน่ ว่าองค์กรเรามันเน่าเฟะขนาดไหน ฉันจะเปลี่ยนแปลงมันเอง แต่ก่อนอื่นฉันจะต้องฆ่าเธอเพื่อขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กรก่อน"
    "ขอโทษนะปิโร่ แต่ฉันยังไม่คิดจะตายในคืนนี้หรอก"

    สุดท้ายมิตรทั้งสองก็ต้องห้ำหั่นกัน และจบลงที่ความตายของปิโร่ โทรเน่ที่ทอดถอนใจจึงได้ตัดสินใจแน่วแน่ ความต้องการจริงๆของเธอคือการได้เป็นอิสระ แต่หากจะเป็นอิสระได้ เธอต้องหลุดพ้นจากเงามืดของ "คุณพ่อ" และ "คุณแม่" ให้ได้เสียก่อน เพราะปลอกคอที่เธอสวมอยู่ จำเป็นต้องใช้กุญแจที่คุณพ่อคุณแม่ต่างถือติดตัวไว้คนละดอก

    แต่ในตอนนี้ คุณพ่อและคุณแม่ ต่างออกจากเมืองเพื่อไปทำภารกิจของตัวเอง โทรเน่จึงต้องออกเดินทาง เพื่อจัดการทั้งสอง และหลุดพ้นเป็นอิสระให้ได้อย่างแท้จริง

  • บทที่ 2-1 เส้นทางของคุณพ่อ

    โทรเน่เดินทางมายังเมือง Winterbloom ตามคำชวนของคุณพ่อให้มาทำภารกิจร่วมกัน คือการถล่มรังโจรของกลุ่ม Snowhares (กระต่ายป่าหิมะ) ระหว่างที่อยู่ร่วมกัน โทรเน่ไม่อาจหาโอกาสเหมาะที่จะลอบสังหารคุณพ่อได้เลย

    การร่วมงานกับคุณพ่อครั้งนี้ ชวนให้โทรเน่รำลึกถึงความหลัง ครั้งแรกที่ลงมือฆ่าคนตามการชี้นำของคุณพ่อ ความสะอิดสะเอียนของกลิ่นคาวเลือด แม้ตอนนี้เธอจะคุ้นชิน แต่ยังคงไม่อยากลงมือสังหารถ้าไม่จำเป็น

    แต่นับเป็นเรื่องประหลาดที่การทำภารกิจร่วมกับคุณพ่อทุกครั้ง คุณพ่อจะเป็นคนนำ โทรเน่จะเป็นคนตาม แต่ครั้งนี้โทรเน่ได้รับภารกิจให้เข้าไปเพียงลำพัง หลังจากเร้นกายเข้าไปจนถึงรังลับด้านในของกลุ่มโจร โทรเน่ใช้ความพยายามไม่มากนักในการจัดการหัวหน้าโจรลง แต่ในขณะที่จะลงมีดสุดท้ายนั้นเอง กลับมีมีดลับซัดพุ่งมาใส่โทรเน่อย่างแม่นยำ
    "แม้แต่คนที่ระวังตัวที่สุด ก็จะเปิดช่องว่างในขณะที่ลงมือสังหาร" คุณพ่อพูดพร้อมปรากฏตัวขึ้น
    "เธอเก่งนะโทรเน่ เก่งที่สุดในบรรดาลูกๆของพ่อเลย แต่ยังไม่มากพอที่จะฆ่าพ่อหรอกนะ"
    "พ่อ...รู้ได้ยังไง"
    "อย่าลืมสิว่าพ่อเป็นพ่อของเธอ"
    "อ้อไม่ต้องห่วงหรอกนะ ลูกไม่ตายหรอก ไม่โดนจุดสำคัญ"
    "ถ้าลูกยังคงต้องการ พ่อจะรออยู่ที่เมืองมอนท์ไวส์"

    โทรเน่พาร่างตัวเองที่บาดเจ็บออกมาจากรังลับ และยิ่งตัดสินใจแน่วแน่ มีเพียงการสังหารคุณพ่อเท่านั้นที่จะทำให้เธอเป็นอิสระได้อย่างแท้จริง

  • บทที่ 2-2 เส้นทางของคุณแม่

    โทรเน่ตามเบาะแสมาถึงหมู่บ้านเหมืองแร่แห่งหนึ่ง ซึ่งคุณแม่มาเพื่อตามหาสมาชิกเข้าองค์กร โทรเน่ได้พบเด็กลึกลับคนหนึ่งซึ่งแอบตามเธอมาเมื่อเธอเข้ามาในหมู่บ้านนี้ และต้องประหลาดใจที่เด็กน้อยผู้นี้ช่างละม้ายคล้ายปิโร่ อดีตเพื่อนร่วมทีมของเธอมากนัก แต่แล้วโทรเน่ก็สลัดหลุดมาได้และสืบพบว่าคุณแม่มาติดต่อกับพ่อค้าทาสคนหนึ่งในเมืองนี้ เมื่อเธอตามเข้าไปและได้พบกับว่าคุณแม่ได้จากไปแล้ว เหลือเพียงพ่อค้าทาสนั้นซึ่งกำลังเล่นเกม "เหล้าพิษ" อยู่ เกมง่ายๆที่คนสองคนสลับกันหยิบแก้วมาดื่มคนละแก้ว ในนั้นมีแก้วพิษอยู่หนึ่งแก้ว โทรเน่ที่ต้องการข้อมูลจึงรับคำท้าและเล่นเกมกับพ่อค้าทาสนั้น

    "เธอไม่กลัวเหรอ"
    "สิ่งเดียวที่ฉันกลัวคือการไม่ได้ทำในสิ่งที่ฉันต้องการ แค่ความตายฉันไม่กลัวหรอก" โทรเน่กล่าวพร้อมยกแก้วขึ้นมาดื่มทีเดียวสองแก้วรวด

    สุดท้ายด้วยความเด็ดเดี่ยว พ่อค้าทาสจึงยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยการดื่มเหล้าที่เหลืออยู่เพียงแก้วเดียว แน่นอนว่าแก้วเดียวที่เหลือนั้นคือแก้วพิษ พ่อค้าทาสได้บอกเบาะแสที่นำไปสู่คุณแม่ ก่อนที่โทรเน่จะเดินออกมาพร้อมกับเสียงร่างของพ่อค้าทาสที่ล้มลง

  • บทที่ 3-1 เส้นทางของคุณพ่อ

    โทรเน่ตามมาพบคุณพ่อที่เมืองมอนท์ไวส์ ก่อนที่คุณพ่อจะพาไปยังโบสถ์ร้างนอกเมืองหลังหนึ่ง และเริ่มต้นบอกเล่าเรื่องราวสุดสะเทือนใจ

    ในอดีต เซบาสเตียน (คุณพ่อ) เติบโตขึ้นเพียงลำพังด้วยความยากจน อาศัยการลักขโมยเพื่อยังชีพ แต่ต่อมาด้วยความอัจฉริยะ เขากลายเป็นจอมโจรผู้เก่งกาจ โดยเฉพาะทักษะการใช้มีดที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน ในวันหนึ่ง เซบาสเตียนลอบเร้นเข้าไปหวังจะสังหารเศรษฐีคนหนึ่ง แต่กลับพบเศรษฐีนั้นนอนเป็นศพ พร้อมกับหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งยืนอยู่ เซบาสเตียนตกตะลึงต่อแผลศพที่แสดงให้เห็นถึงฝีมือการลงมีดที่ไม่ด้อยไปกว่าตัวเอง เซบาสเตียนหลงรักหญิงคนนั้นแทบจะทันที ทั้งสองคบหากันและตัดสินใจหนีตามกันมา

    ที่โบสถ์ร้างนี้เอง คือสถานที่ที่ทั้งสองตกลงแต่งงานกัน พร้อมกับข่าวดีว่าหญิงสาวได้ตั้งท้องลูกของทั้งคู่ เซบาสเตียนดีใจมาก แต่ก็หวาดกลัวอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะทั้งชีวิตเคยแต่แย่งชิง ไม่เคยปกป้องสิ่งใดเลย

    "ตอบฉันหน่อยสิเซบาสเตียน สำหรับคุณอะไรคือสมบัติที่ไม่อาจขโมยได้แม้แต่จอมโจรที่เก่งกาจที่สุด"
    "สำหรับฉันคือลูก ลูกของเราสองคนยังไงล่ะ"
    ...
    "นางชื่อมาริเอตต้า และนั่นคือแม่แท้ๆของเธอ โทรเน่"
    หลังจากฟังความจริงอันน่าตกใจ นั่นหมายความว่า ชายตรงหน้าที่โทรเน่ต้องการสังหารคือ...

    "แต่ฉันไม่ใช่พ่อแท้ๆของเธอหรอกนะ หลังจากนั้นไม่นาน มาริเอตต้าได้พบรักกับชายอีกคน และฆ่าเด็กในท้องทิ้ง จากนั้นก็มีลูกกับชายคนนั้น"
    "ชายคนนั้นคือพ่อแท้ๆของเธอ และคือผู้ก่อตั้งองค์กรอสรพิษดำ"
    "เธอควรจะเป็นลูกแท้ๆของฉัน โทรเน่ หลังจากนั้นฉันก็ฆ่ามาริเอตต้าทิ้ง และนำเธอมาเลี้ยงดังลูกแท้ๆนับแต่นั้นมา"
    "เลี้ยงเธอ เพื่อที่สักวันหนึ่ง เธอจะมาฆ่าฉัน"

    ด้วยความสับสนต่อเรื่องราวทั้งหมด โทรเน่เริ่มลังเลใจ แต่คุณพ่อก็ชักมีดออกมาต่อสู้กับโทรเน่ ด้วยความยากเย็น โทรเน่เอาชนะคุณพ่อได้ แต่กลับเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกกลัว กลัวการสูญเสียคุณพ่อที่อยู่เบื้องหน้า

    "ฉันสามารถเรียกคุณว่า พ่อ จริงๆได้ไหม"
    คุณพ่อยิ้มด้วยความตื้นตัน และก่อนลมหายใจสุดท้ายจะหมดลง คุณพ่อได้ส่งกุญแจดอกหนึ่ง
    "แม้เธอจะฆ่าฉัน แต่เธอก็ยังไม่สามารถเป็นอิสระได้หรอกนะ"
    "ไปซะโทรเน่ ไปหาพ่อแท้ๆของเธอ และคำตอบจากที่แห่งนั้น จะทำให้เธอเป็นอิสระอย่างแท้จริง"
    ...
    โทรเน่ยืนอยู่เบื้องหน้าหลุมศพชายที่เธอเคยเรียกว่าพ่อ แม้ในหัวใจจะรู้สึกแต่ความว่างเปล่า แต่โทรเน่ก็เดินออกมาเพื่อสะสางเรื่องราวทั้งหมดให้จบลง

  • บทที่ 3-2 เส้นทางของคุณแม่

    โทรเน่ติดตามเบาะแสของคุณแม่มายังเมืองแห่งหนึ่ง และลอบเร้นเข้าไปในโบสถ์ที่คุณแม่ใช้ชุบเลี้ยงเหล่าเด็กๆให้กลายเป็นอสรพิษดำ โดยโทรเน่ปลอมตัวเป็นแม่ชี และตามไปจนถึงสวนด้านในที่ซึ่งคุณแม่เอาไว้ใช้ "มอบรางวัล" ด้วยแส้แก่เด็กๆ

    โทรเน่จัดการคุณแม่ด้วยฝีมืออันหมดจด แต่ก่อนจะดับลมหายใจของคุณแม่นั่นเอง โทรเน่ก็ได้ข้อมูลจากปากของคุณแม่ว่า "แม่ที่แท้จริง" ของโทรเน่เป็นหัวหน้าของเธอ เป็นหัวหน้าที่แท้จริงอีกคนขององค์กรอสรพิษดำ และคุณแม่ที่เบื้องหน้านี้แหละคือคนจัดฉากล่อให้มาริเอตต้า แม่ของโทรเน่ถูกฆ่าตาย ก่อนที่คุณแม่และคุณพ่อจะก้าวมาเป็นหัวหน้าองค์กรคนปัจจุบัน

    คุณแม่ชิงชังโทรเน่และมาริเอตต้าเป็นที่สุด แต่ไม่อาจทำอะไรโทรเน่ได้ เพราะถูกคุณพ่อขู่เอาไว้ ว่าถ้าโทรเน่ตาย คุณแม่จะต้องตายตามไปด้วย

    ตอนนี้โทรเน่ได้กุญแจทั้งสองดอกจากคุณพ่อและคุณแม่แล้ว แต่กลับไม่อาจไขปลอกคออันเป็นบ่วงที่พันธนาการเธอไว้ได้ เธอจึงต้องกลับไป กลับไปยังจุดเริ่มต้น กลับไปยังรังของอสรพิษดำ

  • บทที่ 4 บทสุดท้าย

    โทรเน่กลับมาที่เมืองเดลสตาร์ เมืองที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว และทำให้นึกไปถึงในวันที่โทรเน่และเพื่อนทำภารกิจผิดพลาด ต้องหนีตายออกมา มีประตูหนึ่งที่เปิดไม่ออก ด้วยความสงสัยโทรเน่จึงย้อนไปที่ประตูนั้น เป็นดังคาด กุญแจที่ได้มาจากคุณพ่อคุณแม่สามารถไขประตูออก แต่เบื้องหลังประตูกลับเป็นขอบผาและทางเดินที่ทอดยาวออกไป สุดทางเป็นกระเช้าที่นำไปสู่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในส่วนลึกของหุบเขาท่ามกลางซากปรักหักพัง

    โทรเน่เดินผ่านเหล่าผู้คนที่แปลก ๆ เข้าสู่ซากอาคารร้างที่เต็มไปด้วยอสูรร้าย และสุดทางยืนไว้ด้วยชายผู้หนึ่ง เมื่อโทรเน่เห็นใบหน้าชัดเจนก็ต้องประหลาดใจ
    "ปิโร่?"
    "เสียใจด้วยนะ ฉันไม่ใช่ปิโร่"
    "ฉันคือพ่อของปิโร่ พ่อของสการัจจิ พ่อของดอนนี่ พ่อของเซบาสเตียน (คุณพ่อ) พ่อของคุณแม่ พ่อของเหล่าอสรพิษดำทั้งหลาย"
    "และเป็นพ่อแท้ๆของเธอด้วย โทรเน่"

    ชายผู้นี้มีนามว่า "คล็อด" เป็นผู้ก่อตั้งองค์กรอสรพิษดำ โดยเขาเชื่อว่าคนเราก่อนตายต้องทิ้งมรดกสืบทอดเอาไว้ และมรดกที่ดีที่สุดคือลูก เขาจึงผลิตลูกออกมามากมาย และสร้างองค์กรอสรพิษดำให้เป็นดังสวนผัก สวนผักที่เพาะปลูกเหล่าลูกๆเอาไว้ บำรุงดูแลให้เติบโตด้วยการเข่นฆ่ากันเพื่อคัดเลือกเพียงผู้แข็งแกร่ง กำจัดผู้อ่อนแอดังการกำจัดวัชพืช

    บททดสอบสุดท้ายของโทรเน่ได้ยืนอยู่เบื้องหน้า กุญแจดอกสุดท้ายที่จะใช้ไขปลอกคอที่พันธนาการอิสรภาพของเธอ และด้วยกำลังทั้งหมดของโทรเน่ สุดท้ายเธอก็จัดการหัวหน้าองค์กรอสรพิษดำ ซึ่งเป็นพ่อแท้ๆของเธอได้ในที่สุด และในไม่ช้า องค์กรอสรพิษดำที่ไร้หัว ก็จะกัดกินกันเองจนสาปสูญไปในที่สุด

    "ตอบพ่อหน่อยสิ สำหรับลูกสมบัติอะไรคือสิ่งที่ไม่อาจขโมยได้แม้แต่กับจอมโจรที่เก่งกาจที่สุด"

    "ตะวันขึ้น มันอาจจะหายลับขอบฟ้าในบางที แต่ไม่เคยมีใครช่วงชิงมันมา และไม่ช้ามันจะกลับมาใหม่"

    นับแต่นี้ โทรเน่ไม่ต้องหลบซ่อนอยู่ในเงามืดอีกแล้ว เธอสามารถทำได้ทุกสิ่งที่อยากทำ ไปได้ทุกที่ที่อยากไป

    อิสรภาพอย่างแท้จริง

    - บทแห่งจอมโจร -
    - จบบริบูรณ์ -

 

 

  

Hikari Ku มหาบุรุษกู้แผ่นดิน

องค์ชายนักรบแห่งจักรวรรดิคู จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่แห่งทะเลทรายตะวันตก (theme ออกแนวจีนโบราณผสมญี่ปุ่น) ฮิคาริเป็นนักดาบผู้ใฝ่ฝันถึงโลกที่ไม่มีสงคราม ไม่มีการนองเลือด กระนั้นเขาก็เป็นอัจฉริยะในเชิงยุทธที่สามารถลอกเลียนกระบวนท่าศัตรูได้ในการมองเพียงครั้งเดียว มีความสามารถในการท้าชาวบ้านประลองในตอนกลางวัน (และเอาความสามารถของคนที่แพ้มาใช้ได้) และความสามารถในการยัดเงินเพื่อซื้อข้อมูลจากชาวบ้านในตอนกลางคืน
เป็นหนึ่งในตัวละครที่มีเนื้อหาเข้มข้นที่สุด พล็อตหนังจีนย้อนยุค ชิงไหวชิงพริบ ชิงบ้านชิงเมือง ขาดอย่างเดียว ไม่มีชิงสาว (ไม่มีชิงช้าด้วย)

  • บทที่ 1

    ท่ามกลางสมรภูมิสงคราม ฮิคาริกับริตสึ และไรเหมย สหายร่วมรบทั้งสามวิ่งฝ่าสนามรบเพื่อจัดการกับแม่ทัพฝ่ายศัตรูและจบสมครามให้เร็วที่สุด หลังจากเอาชนะแม่ทัพศัตรูได้โดยไม่เอาชีวิต แม่ทัพนั้นกลับถูกสังหารโดยมูเก็น องค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดาของฮิคาริ มูเก็นในชุดเกราะสีแดงขนาดยักษ์ถูกขนานนามว่าเป็นนักรบอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิ มีพร้อมทั้งความแข็งแกร่งและโหดเหี้ยม

    3 ปี ผ่านไป ฮิคาริที่ต้องแยกย้ายจากริตสึ ไรเหมย สหายร่วมรบ รับหน้าที่ดูแลเมืองรอบนอกราชวังและคอยฝึกทหาร หลายปีที่ผ่านมา จักรวรรดิคูบุกชิงแผ่นดินจากประเทศต่างๆ จนกลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ และในที่สุดไฟสงครามก็สงบลง แต่ดูเหมือนความสงบจะคงอยู่ได้ไม่นาน...

    จักรวรรดิคูเป็นประเทศที่ถือค่านิยมวรรณะอย่างยิ่ง สามัญชนมิอาจเอื้อมเทียบเคียงเหล่าทหารแม่ทัพหรือชนชั้นสูง เหล่าชนชั้นล่างเป็นได้แค่เพียงมดแมลงของคนเหล่านั้น แต่ฮิคาริ องค์ชายน้อยกลับไม่เคยถือตัว ด้วยความที่มีมารดาเป็นหญิงสามัญชนทำให้เขามีความเห็นอกเห็นใจชาวบ้านจนเป็นที่รักของคนทุกระดับชั้น แต่แล้วในวันหนึ่ง ฮิคาริต้องเข้ามาจัดการกับลูกสมุนของแม่ทัพมูเก็น พี่ชายของตัวเองซึ่งมีแต่จะเหิมเกริมขึ้นทุกวัน หลังจากนั้นเขากลับได้รับข่าวจากเบ็งเคย์ ราชองครักษ์ของพระบิดาผู้เป็นกษัตริย์ให้ไปเข้าเฝ้าที่นอกเมือง
    "คำว่า ประเทศ สำหรับเจ้าคืออะไร?"
    "สำหรับข้า ประเทศคือสถานที่ที่มีแต่สหายและพันธมิตร
    สหายที่เติบโตช่วยเหลือกัน
    พันธมิตรที่แบ่งปันอุดมการณ์ร่วมกัน"
    "ข้าอยากให้เจ้าเป็นกษัตริย์ต่อจากข้า"
    "แต่ท่านพี่มุเก็น..."
    "มูเก็นรู้จักแต่ความรุนแรง เหมือนกับข้าในอดีตที่แสวงหาแต่ความยิ่งใหญ่ แสวงหาแต่สงคราม แต่ตัวข้าเพิ่งเข้าใจในบั้นปลายว่าสิ่งที่ข้าแสวงหามีเพียงแต่ความว่างเปล่า"

    ฮิคาริได้รับมอบหมายให้สืบดูมูเก็นซึ่งในระยะหลังมีความเคลื่อนไหวไม่ชอบมาพากล ฮิคาริจัดสินใจติดสินบนพ่อค้าที่เข้าออกราชวังจนได้ข้อมูลว่า คืนนี้องค์ชายใหญ่นัดพบกับพ่อค้าอาวุธที่นอกเมือง ฮิคาริที่อยากรู้ความจริงจึงตัดสินใจไปที่จุดนัดพบ

    แต่สิ่งที่รอคอยเขาอยู่กลับเป็นริตสึ สหายเก่าซึ่งตอนนี้กลายเป็นสมุนขององค์ชายมุเก็นไปแล้ว ริตสึที่แอบริษยาฮิคาริมานานปีเพราะไม่เคยสู้ชนะ บอกความจริงว่าทั้งหมดเป็นแผน และแผนที่แท้จริงจะเริ่มในคืนนี้แล้ว

    จบคำ ปรากฏเปลวไฟสว่างวาบลุกไหม้ไปทั่วเมืองรอบพระราชวัง เกิดเหตุจลาจลขึ้นในเมืองแล้ว

    ฮิคาริร้อนใจยิ่ง แต่ก็ถูกริตสึขัดขวาง ริตสึไม่อ่อนข้อให้ฮิคาริแม้แต่น้อย ฮิคาริซึ่งร้อนใจระเบิดไอพลังงานลึกลับสีม่วงดำหมุนวนรอบกาย ด้วยพลังนี้เขาสยบอดีตสหายรักของตัวเองด้วยความรวดเร็ว และรีบบุกเข้าไปในพระราชวังทันที

    ตัดภาพมาที่ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นเล็กน้อย พระราชาเผชิญหน้ากับองค์ชายใหญ่มุเก็นเพียงลำพัง
    "คำว่า ประเทศ สำหรับเจ้าคืออะไร"
    "คือความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งที่จะสยบพวกอ่อนแอไว้ใต้ฝ่าเท้า"
    "ข้ารู้ ว่าท่านพ่อจะให้ฮิคาริเป็นราชาคนต่อไป ท่านอ่อนแอลงแล้วท่านพ่อ แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะรับช่วงดูแลประเทศนี้ต่อ และทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีก..."

    ฮิคาริมาช้าไปเพียงก้าวเดียว พระราชาซึ่งเป็นพ่อแท้ๆของทั้งคู่ถูกสังหารลงโดยมูเก็น ฮิคาริพยายามบุกฝ่าเข้าไปถึงตัวองค์ชายใหญ่ แต่กลับโดนห้อมล้อมด้วยทหารลิ่วล้อจำนวนนับไม่ถ้วน ขณะที่สถานการณ์เข้าสู่ภาวะวิกฤต เบ็งเคย์ราชองครักษ์ก็บุกเข้ามาช่วยฮิคาริขวางทหารเหล่านั้น
    "องค์ชายฮิคาริ องค์ชายมูเก็นนั้นแข็งแกร่งมาก ในวันนี้ท่านไม่อาจสู้เขาได้ จงไปเถอะ ไปหาสหาย ไปหาพันธมิตรที่จะช่วยท่านกลับมาช่วยเหลือประเทศนี้"
    "ข้าเองก็ปรารถนาให้ท่านเป็นกษัตริย์ของประเทศนี้นะ องค์ชายฮิคาริ"

    ฮิคาริที่รวบรวมสติได้ หันหลังกลับและหลบหนีออกมาจากเมือง ระหว่างนั้นข่าวการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิอาณาจักรคูก็แพร่สะพัด เหล่าพ่อค้าพูดกันปากต่อปากว่า องค์ชายน้อยฮิคาริคิดหวังเป็นใหญ่ ปลงพระชนม์พระบิดาเพื่อตั้งตนเป็นกษัตริย์ แต่องค์ชายใหญ่มูเก็นเข้าขัดขวางทันท่วงที องค์ชายใหญ่จึงเข้ามารับช่วงราชบัลลังก์ต่อ และประกาศตามล่าตัวองค์ชายน้อยผู้เป็นฆาตกร

    ฮิคาริที่ต้องหลบหนีการตามล่า จึงออกเดินทางเพื่อตามหาสหายที่จะช่วยกอบกู้แผ่นดิน เป้าหมายแรกคือ "คาซัน" อดีตเสนาธิการอันดับหนึ่งของอาณาจักร เจ้าของฉายาพญาอินทรีแห่งคู

    ฮิคาริจะดึงตัวพญาอินทรีผู้นี้มาช่วยได้หรือไม่ จะสามารถทวงคืนความเป็นธรรมและหยุดยั้งความโหดร้ายขององค์ชายใหญ่ได้อย่างไร
    โปรดติดตาม "ฮิคาริ มหาบุรุษกู้แผ่นดิน" ในตอนต่อไป...

  • บทที่ 2

    ฮิคาริเดินทางมาถึงเมืองมอนท์ไวส์ เมืองที่มีชื่อเสียงของสนามกลาดิเอเตอร์ ที่ซึ่งผู้คนมากมายมาชมดูการเข่นฆ่าเพื่อความบันเทิง และลงเงินพนันกันอย่างสนุกสนาน

    ฮิคาริได้พบคาซันในที่แห่งนี้เอง และจำใจยอมรับเงื่อนไขของคาซันคือ ฮิคาริต้องลงสนามกลาดิเอเตอร์เพื่อปลดหนี้ให้คาซันที่เป็นหนี้พนันหัวโต ฮิคาริเกาะกุมดาบในมือฝ่าฟันเหล่านักรบกลาดิเอเตอร์จนได้ประดาบกับ "เซโต้ จอมสับ" กลาดิเอเตอร์ผู้มืชื่อเสียงและไม่เคยแพ้ผู้ใดมากว่า 20 นัด ในศึกดวลเดือดที่เดิมพันด้วยความตาย คาซันที่ได้กำไรจากการลงพนันข้างฮิคาริมาหลายศึกจนกลายเป็นแขก VIP ของสนามแห่งนี้ไปแล้ว คาซันเป็นเพียงคนเดียวในเหล่า VIP ที่กล้าลงพนันข้างฮิคาริซึ่งในสายตาผู้อื่นเป็นเพียงนักดาบโนเนมจากตะวันตก ไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม ขณะที่แขก VIP ท่านอื่นต่างลงพนันข้างเซโต้จนหมดสิ้น

    ฮิคาริเอาชนะเซโต้ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้คน แต่ในระหว่างที่มีแต่เสียงเชียร์ให้ ฆ่า ฆ่า ฆ่า ด้านมืดในจิตใจฮิคาริเริ่มปรากฏเป็นรูปร่างและยุยงให้ฮิคาริลงมือ แต่ความเข้มแข้งของจิตใจก็ทำให้ฮิคาริเอาชนะด้านมืดได้ "บอร์นัว" เจ้าของสนามกลาดิเอเตอร์จึงส่งนักรบมือหนึ่ง "ยมทูต บันเดอลัม" ซึ่งเป็นองครักษ์ข้างกายลงไปจัดการสังหารผู้แพ้อย่างเซโต้เสีย แต่ฮิคาริก็เข้ามาขัดขวาง และจบลงด้วยการท้าดวลกับบันเดอลัมในวันรุ่งขึ้น

    วันถัดมา คาซันบนที่นั่ง VIP ได้เสนอเงินพนัน 300 ล้าน และหากชนะจะได้คืนกลับมา 10 เท่า บอร์นัวซึ่งมั่นใจว่าไม่มีวันแพ้ยิ้มกริ่มด้วยความมั่นใจ แต่ในขณะที่ศึกระหว่างฮิคาริและบันเดอลัมกำลังเริ่มขึ้น จู่ๆเหล่ากลาดิเอเตอร์ตัวประกอบทั้งหมดก็ลุกฮือเข้ามาที่ห้องแขก VIP และจับบอร์นัวกับเหล่า VIP ทั้งหมดเป็นตัวประกัน ทั้งหมดเป็นแผนการอันแยบยลของคาซันนั่นเอง

    หลังจากความพ่ายแพ้ทั้งของบันเดอลัมและบอร์นัว บอร์นัวจำใจยอมรับข้อเสนอคือการยกสนามกลาดิเอเตอร์ทั้งหมดให้คาซัน นี่เองคือเป้าหมายที่แท้ของคาซันที่ต้องการปลดปล่อยเหล่านักรบผู้น่าสงสารที่บาดเจ็บล้มตายเพื่อความบันเทิงของผู้อื่น

    นอกจากนี้ เหล่ากลาดิเอเตอร์ที่ได้รับอิสระ ก็เสนอตัวเป็นผู้ติดตามของฮิคาริเพื่อช่วยเหลือในการปลดปล่อยประเทศ เมื่อมีสุดยอดนักวางแผน และเหล่ากลาดิเอเตอร์ข้างกาย เส้นทางของการปลดปล่อยบ้านเกิดก็ได้เดินหน้าไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว

    "เจ้าจับดาบต่อสู้เพื่ออะไร? เพื่อเงิน? หรือเพื่อชื่อเสียง?"
    "ข้าจับดาบเพื่ออนาคตของอาณาจักรคู อนาคตที่จะไม่มีการสู้รบ ไม่มีการนองเลือด"

  • บทที่ 3

    ฮิคาริเดินทางมายังเมืองเวลโกรฟ เมืองเล็กๆชายป่าตามคำแนะนำของคาซัน ซึ่งได้รับข่าวว่าทหารขององค์ชายใหญ่ (ซึ่งขณะนี้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรคูแล้ว) ได้มาเจรจาซื้ออาวุธจำนวนมากที่ป่านอกเมืองแห่งนี้
    "ลดทอนเขี้ยวเล็บศัตรู ลับคมเขี้ยวเล็บตนเอง"
    ภารกิจของฮิคาริ คือการขโมยอาวุธมาเสริมทัพของเขา พร้อมกับสกัดการเสริมอาวุธของทัพฝ่ายตรงข้าม

    หลังได้ข้อมูลที่แน่นอนจากพ่อค้าซึ่งเป็นสายของคาซัน ฮิคาริบุกเข้าไปเผชิญหน้ากับทัพย่อยที่ทำหน้าที่จัดการการซื้อขายอาวุธในครั้งนี้ ฮิคาริได้เผชิญหน้ากับริตสึ สหายเก่าของเขาอีกครั้ง
    "เจ้าจะมาขัดขวางเส้นทางการก้าวหน้าของข้าอีกแล้วรึ ฮิคาริ"
    "วางอาวุธซะริตสึ ไม่จำเป็นต้องหลั่งเลือด แต่ข้าจะไม่ให้ใครหยุดยั้งหนทางแห่งสันติที่ข้าจะนำอาณาจักรคูไปหลังจากนี้ได้"
    "อุดมการณ์ยิ่งใหญ่เหลือเกินนะองค์ชายน้อย ว่าแต่ถ้าเจ้าใฝ่หาสันติสุขขนาดนั้น เจ้าจะต้องการดาบนั้นไปทำไมล่ะ? มันคือเครื่องมือฆ่าคน ไม่ใช่สันติ หรือข้าพูดผิดไปล่ะฮิคาริ"

    "คูคือผลผลิตของวงจรแห่งสงครามที่ไม่รู้จบ มันถูกสร้างมาด้วยภูเขาของซากศพนับไม่ถ้วน ตราบใดที่มูเก็นยังเป็นกษัตริย์ จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง"
    "แต่ดาบของข้าจะสะบั้นวงจรอุบาทว์นี้เอง"

    "ดูเหมือนท่านจะเลือกเส้นทางของท่านแล้ว แต่ท่านเลือกผิดนะ องค์ชายฮิคาริ ท่านควรจะเลือกติดตามจักรพรรดิมูเก็น"

    ชายชราผู้หนึ่งเอ่ยปากขึ้น แท้จริงแล้วชายชราผู้นี้เป็นผู้นำทัพตัวจริงในครั้งนี้

    แม่ทัพโรว แม่ทัพใหญ่แห่งอาณาจักรคู ซึ่งเป็นแม่ทัพที่รับใช้ราชวงศ์ตั้งแต่รุ่นก่อน...

    "แม่ทัพโรว วางอาวุธเถอะ ข้าไม่ต้องการสู้กับท่าน ท่านจงรักภักดีกับบิดาข้ามาอย่างยาวนาน ท่านน่าจะเข้าใจ"

    "ข้าจงรักภักดีต่ออาณาจักรคู มิได้ภักดีต่อใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าผู้ใดนั่งบนบัลลังก์ ข้าก็จะภักดีต่อคนผู้นั้น"
    "ข้าได้รับภารกิจนี้โดยตรงจากองค์จักรพรรดิ ข้าไม่อาจละทิ้งหน้าที่นี้ได้"
    "และหากท่านยังยืนยันจะขัดขวางข้า...ก็จงดูเสียเถิด เหตุใดผู้คนจึงขนานนามข้าว่า "กระทิงป่าแห่งคู""

    หลังการเจรจาไม่เป็นผล ฮิคาริไม่มีทางเลือกนอกจากการจับดาบเข้าสู้ ฮิคาริท้าสู้กับแม่ทัพโรวตัวต่อตัว แม้จะชราแต่แม่ทัพโรวก็สมกับเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งอาณาจักร ฮิคาริต่อสู้ด้วยความยากเย็นยิ่ง แต่ก็เอาชนะมาได้ ขณะนั้นเอง เสียงที่คุ้นเคยก็แว่วมาอีกครั้ง

    "อย่าทนต่อไปอีกเลย อย่าโกหกตัวเองอีกเลย เจ้าต้องการชโลมกายเจ้าด้วยเลือดของพวกอ่อนแอไงล่ะ"
    "ให้ข้าช่วยเจ้าสิ ปลดปล่อยพลังของเจ้าออกมา ฆ่ามันซะ!!"

    เสียงลึกลับดังก้องในหัวของฮิคาริ เป็นเสียงเดียวกับที่ฮิคาริได้ยินครั้งสู้กับริตสึที่นอกเมืองครั้งก่อน และครั้งที่สู้กับกลาดิเอเตอร์ เป็นจิตมารของฮิคาริเอง

    "ไสหัวไป!!!!!!"
    อีกครั้งที่ฮิคาริต่อสู้และเอาชนะจิตมารของตัวเองได้ แต่ดูเหมือนว่าจิตมารจะเริ่มแทรกแซงความรู้สึกนึกคิดของฮิคาริมากขึ้นเรื่อยๆ

    ริตสึที่ยังไม่มีบทเห็นเช่นนั้นจึงจะเข้ามาร่วมวง แต่ถูกห้ามไว้โดยตัวแม่ทัพโรวเอง แม่ทัพโรวยอมรับความพ่ายแพ้และพาริตสึถอนตัวจากไป ฮิคาริประสบความสำเร็จในการช่วงชิงอาวุธมาได้ และนำเกวียนอาวุธจำนวนมากไปสมทบกับคาซันที่หมู่บ้านริว
    ...
    ตัดมาที่ริตสึที่ไม่เห็นด้วยกับแม่ทัพคูที่ห้ามไว้ แต่ก็ต้องประหลาดใจกับคำกล่าวของแม่ทัพโรว
    "เจ้าเคยได้ยินเรื่องสายเลือดต้องสาปแห่งตระกูลคูหรือไม่ ข้าเคยเห็นด้วยตาตนเองในสนามรบ เหมือนมีบางอย่างครอบครองร่างพวกมัน เปลี่ยนเหล่านักรบแห่งตระกูลคูจากปากเหวแห่งความตาย สู่จุดสูงสุดของชัยชนะ เป็นชัยชนะที่ไม่หลงเหลือผู้ใดรอดชีวิต"
    "ข้าเห็น เห็นเงาด้านหลังขององค์ชายฮิคาริในระหว่างต่อสู้ เงาปีศาจอันน่ากลัว นั่นคือพลังสายเลือดต้องสาปแห่งตระกูลคูไม่ผิดแน่ เจ้าจงยินดีเถอะที่หนีออกมาพร้อมหัวบนบ่าได้"

    "หึๆๆ ดูเหมือนกระทิงป่าแห่งคูวันนี้จะแก่ชราเกินไปแล้ว ตำนานเลอะเลือนเช่นนั้นคิดหรือว่าข้าจะเชื่อ แต่เอาเถอะ ด้วยศีรษะบนบ่าของท่าน ข้าจะเอาไว้ใช้ขออภัยองค์จักรพรรดิให้เอง"
    จบคำริตสึก็ชักดาบออกมาฟันแม่ทัพโรวที่บาดเจ็บสิ้นใจ
    ...
    ตัดภาพมาที่อาณาจักรซา อาณาจักรเล็กๆแห่งหนึ่ง จักรพรรดิมูเก็นจับดาบอันใหญ่โตเยื้องย่างเข้าหาชายที่นั่งบนบัลลังก์เบื้องหน้า
    "อาณาจักรทั้งสองของเราทำสัญญาสงบศึกกันแล้ว เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร"
    "สัญญาสงบศึกมีไว้ให้ฉีกทิ้งยังไงล่ะไอ้โง่ ฮ่าๆๆๆๆๆ"

    อาณาจักรคูภายใต้การนำของจักรพรรดิมูเก็นเดินหน้าทำสงครามไม่หยุดหย่อน อีกอาณาจักรได้พ่ายแพ้และตกตายใต้เงื้อมมือของมูเก็นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ด้วยประกาศิตคำสั่งของมูเก็น ไม่ว่าเด็กหรือสตรี ล้วนถูกสังหารสิ้น ขณะนั้นเอง ริตสึที่เดินทางมาถึงก็ขอเข้าพบกับมูเก็นทันที
    "ข้าริตสึ มิชูโย กลับมารายงานภารกิจ"
    "แล้วแม่ทัพโรวล่ะ เขาคือผู้นำทัพของเจ้ามิใช่รึ ถ้าข้าจำไม่ผิด"
    "แม่ทัพโรวทรยศ แอบร่วมมืออย่างลับๆ เปิดโอกาสให้องค์ชายฮิคาริปล้นขบวนสินค้าไป แม้ตัวข้าจะถูกบีบคั้นให้ต้องหนีออกมา แต่ข้าก็ไม่ลืมที่จะเด็ดหัวผู้ทรยศมาส่งให้ท่าน องค์จักรพรรดิ"
    "อย่างนั้นรึ เจ้าสังหารกระทิงป่าผู้นั้นได้เชียวรึ"
    "แน่นอน ข้ายินยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อกำจัดคนทรยศให้แก่ท่าน"
    "ทำได้ดีมาก ริตสึ มิชูโย แต่ความจริงที่ว่าฮิคาริยังมีชีวิตอยู่มันกวนใจข้านัก"
    "แต่เอาเถอะ เจ้าตัวอ่อนแอนั้น ข้าก็อยากรู้นักว่ามันจะทำอะไรได้"
    "เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว"
    ...
    "องค์จักรพรรดิ ท่านเชื่อถือวาจาขยะของริตสึอะไรนั่นจริงๆรึ?" อาเกฮา ที่ปรึกษาข้างกายมูเก็นกล่าวกระตุ้นเตือน
    "วาจามันเป็นเพียงผายลมเท่านั้น"
    "แต่ข้าประทับใจวิธีการของมัน วิธีการที่เหยียบย่ำศพของมิตรสหายเพื่อผลประโยชน์ คนแบบนี้แหละที่ข้าจะใช้งานได้"
    ...
    ฮิคารินำเกวียนอาวุธมาสมทบกับคาซันได้สำเร็จ และเป้าหมายต่อไปคืออาณาจักรสตอร์มเฮลทางตะวันออก ที่อยู่ของตระกูลเหมย ตระกูลใหญ่ที่ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิองค์ก่อนให้ปกครองอาณาจักรทางตะวันออก และไรเหมย สหายเก่าของฮิคาริก็อยู่ที่นั่นเอง

  • บทที่ 4

    ณ ราชบัลลังค์แห่งอาณาจักรคู
    "องค์จักรพรรดิ กองกำลังขององค์ชายฮิคาริเข้มแข็งขึ้นทุกวัน ข้าเห็นควรว่าเราควรส่งกองทัพไปบทขยี้ถอนรากถอนโคนซะ"
    "เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกอาเกฮา ข้าจะจัดการมันเอง มันกลับมาบ้านเมื่อไหร่ ข้าจะเอาหัวมันมาเมื่อนั้น"
    "ด้วยดาบโลหิตมืด สมบัติศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลคู ที่ย้อมสีแดงด้วยวิญญาณนับไม่ถ้วนที่มันช่วงชิงมา มีแต่ข้าเท่านั้นที่คู่ควรถือมัน สายเลือดอันต่ำต้อยอย่างเจ้านั่น เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากรอยสนิมบนดาบข้าเท่านั้น"
    ...
    ฮิคาริเดินทางมาถึงเมืองสตอร์มเฮล เมืองซึ่งเป็นป้อมปราการของตระกูลเหมย และไรเหมย สหายร่วมรบของฮิคาริเป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน

    แต่ระหว่างสะพานที่ทอดไปสู่ตระกูลเหมย ฮิคาริกลับถูกขัดขวางด้วยกุนโซ แม่ทัพประจำตระกูลเหมยซึ่งได้รับคำสั่งโดยตรงจากนายหญิงให้มาขัดขวางฮิคาริ แต่เมื่อเอาชนะมาได้ฮิคาริกลับถูกไรเหมยใช้เคล็ดวิชาหอกสายฟ้า ทะลวงสะพานเป็นสองส่วนจนฮิคาริตกลงไปเบื้องล่าง
    ...
    ในสติอันเลือนลาง ฮิคาริดำดิ่งสู่ความทรงจำเมื่อครั้งอดีต ตระกูลเหมยสวามิภักดิ์ต่อตระกูลคู จินเหมย และไรเหมย พี่น้องตระกูลเหมยสนิทสนมกับฮิคาริเป็นอันมาก โดยเฉพาะจินเหมยผู้พี่ ซึ่งเป็นดังพี่ชายและอาจารย์สอนวิชาดาบแก่ฮิคาริ ซึ่งตื่นตะลึงในความสามารถขององค์ชายน้อย ที่ลอกเลียนท่าไม้ตายของตนได้ในการมองเห็นเพียงครั้งเดียว

    พี่น้องตระกูลเหมยมีความฝันเช่นเดียวกับฮิคาริ คือฝันถึงอนาคตอันสงบสุข อนาคตที่ไม่มีสงคราม
    แต่ความเป็นจริงนั้น...มันช่างโหดร้ายต่อผู้คนนัก

    ในวันหนึ่ง สองพี่น้องตระกูลเหมยออกรบที่เบื้องนอก ทิ้งให้ฮิคาริกับท่านแม่ของฮิคาริเพียงสองคน แม่ของฮิคาริที่เกิดในตระกูลยากไร้ มักแวะเวียนมายังหมู่บ้านสามัญชนเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านอยู่เสมอโดยไม่ถือตัว จึงเป็นที่นับถือแก่ชาวบ้านเป็นอันมาก ฮิคาริได้ความติดดินเช่นนี้จากท่านแม่เอง

    แต่แล้ว ปรากฏกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งล้อมเข้ามาหาฮิคาริสองแม่ลูก แม้ฮิคาริจะรับมือกลุ่มโจรได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ด้วยจำนวนที่มากกว่าทำให้หัวหน้าโจรอาศัยช่องว่างแทงมีดใส่แม่ของฮิคาริอย่างเต็มกำลัง ฮิคาริที่ช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลับปรากฏมวลพลังสีม่วงดำพวยพุ่งจากร่าง นั่นเองคือครั้งแรกที่จิตมารของฮิคาริถูกปลดปล่อยออกมา...

    จินเหมยและไรเหมยที่กลับมายังจุดเกิดเหตุ พบเพียงซากศพของเหล่าโจรที่นอนเกลื่อนกลาด และองค์ชายน้อยที่มีออร่าประหลาดห่อหุ้มร่าง จินเหมยเข้าไปหยุดฮิคาริได้ในที่สุดแต่ก็ต้องบาดเจ็บไม่น้อย ในตอนนั้นเองจินเหมยได้เรียกไรเหมยน้องสาวเข้ามาสั่งเสีย

    "โจรกลุ่มนี้ที่มาลอบสังหารเป็นการสั่งการจากข้าเอง ข้าได้รับคำสั่งจากองค์ชายใหญ่มูเก็นให้สร้างสถานการณ์สังหารแม่ของฮิคาริ แล้วทำทีมาช่วยฮิคาริในภายหลัง แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้"
    "พี่ไม่มีทางเลือกนอกจากคงต้องสังเวยชีวิตต่อองค์ชายใหญ่เพื่อปกป้องตระกูล ไรเหมย ฝากดูแลตระกูลด้วย"

    นับแต่นั้นไรเหมยจึงขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลเหมย และต่อสู้เคียงข้างฮิคาริ แต่ไรเหมยไม่มีทางเลือกนอกจากเก็บงำความจริงไว้ในใจ
    ...
    ฮิคาริฟื้นขึ้นมาในคุกใต้ดินของตึกตระกูลเหมย ไรเหมยที่เข้ามาพบได้เปิดเผยว่า จักรพรรดิมูเก็นออกคำสั่งให้ตระกูลเหมยกำจัดฮิคาริ มิเช่นนั้นตระกูลเหมยจะถูกกวาดล้างเสียเอง

    "ข้าไม่มีทางเลือก มิเช่นนั้นตระกูลเหมยคงถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล"

    ฮิคาริที่กำลังประมวลเหตุการณ์อยู่นั้น หลังจากที่ฮิคาริอยู่เพียงลำพัง ก็มีคนลอบมาพบกับเขา เป็นกุนโซ แม่ทัพตระกูลเหมยนั่นเอง กุนโซเปิดประตูคุกช่วยเหลือฮิคาริออกมา พร้อมฝากฝังความหวังเอาไว้

    "ได้โปรดองค์ชายฮิคาริ โปรดปลดปล่อยท่านไรเหมยจากพันธนาการนี้ด้วย"

    ฮิคาริที่ตัดสินใจแน่วแน่ บุกฝ่าปราสาทตระกูลเหมยจนในที่สุดก็มาถึงลานด้านบน ที่ซึ่งไรเหมยและคนในตระกูลอยู่

    "เพื่ออนาคตอันสงบสุขที่ข้ากับท่านฝันถึง ข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่าน ไรเหมย"
    "ข้ามาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับแล้วฮิคาริ ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสังหารท่าน"

    ฮิคาริและไรเหมยห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ในที่สุดฮิคาริก็พิชิตหอกอสนีแห่งตระกูลเหมยลงได้

    "ฆ่าข้าเถอะฮิคาริ ข้าก้มหัวให้จักรพรรดิมูเก็นแล้ว ข้าไม่อาจช่วยเหลือท่านได้อีกแล้ว ข้าคงไม่อาจปกป้องตระกูลเหมยของข้าได้แล้วเช่นกัน"
    "ตระกูลเหมยของข้านี่แหละที่ทำให้มารดาของท่านต้องตาย บัดนี้ถึงเวลาชดใช้บาปของตระกูลแล้ว"

    "ข้ารู้ว่าพี่ชายท่านเป็นคนสั่งการโจรกลุ่มนั้น และข้าก็รู้เช่นกันว่าพี่ชายของท่านถูกบีบคั้นจากมูเก็น เรื่องนี้ตระกูลของท่านไม่มีความผิด"
    "เพื่อปลดปล่อยอาณาจักรจากความโหดร้ายของมูเก็น ข้าไม่อาจทำได้หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ไรเหมย"
    "ข้าเชื่อใจท่าน ข้าจะรอท่านที่เมืองคู"

    แผ่นหลังของฮิคาริค่อยๆลับหายจากสายตาของไรเหมยซึ่งได้แต่ฟุบตัวลงร้องไห้ ฮิคาริกลับไปสมทบกับคาซันและกองกำลังเพื่อเตรียมความพร้อม สงครามครั้งสุดท้ายระหว่างพี่น้องตระกูลคู ใกล้จะถึงบทสรุปแล้ว

  • บทที่ 5 บทสุดท้าย

    ฮิคาริกลับมายังเมืองคู เมืองหลวงแห่งอาณาจักรคู บ้านเกิดของเขาที่หลบหนีจากมา และจะเป็นสถานที่ที่จะสิ้นสุดสงครามอันยาวนาน เขามาพบกับคาซันและพวก ดูเหมือนว่าด้วยร่มธงขององค์ชายฮิคาริ เหล่าชาวบ้านต่างมารวมตัวกันมากเกินกว่าที่คาดคิดไว้ ทั้งกลาดิเอเตอร์ซีโต้ และเบงเคย์อดีตองครักษ์ของจักรพรรดิองค์ก่อน
    ปัญหาต่อมาคือ จะบุกอย่างไร?
    จะบุกตีเมืองที่ไม่เคยแตกพ่ายได้อย่างไร?
    จัดทัพพิศดารลอบตีเมืองหรือ?
    กระจายกำลังเข้าตีกำแพงรอบทิศหรือ?
    เปล่าเลย...เราจะบุกเข้าไปตรงๆทางประตูหน้า!!!

    ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคน ที่คาซันกลับเลือกบุกตีทางประตูหน้า ด้วยการที่ข้าศึกมั่นใจว่าประตูไม่เคยแตกทำให้ทัพศัตรูไม่ได้วางกำลังไว้มากมายนัก จุดที่คิดว่าแข็งแกร่งที่สุดจึงกลายเป็นจุดอ่อนที่สุดเช่นเดียวกัน

    และด้วยกลศึกพิศดารของจ้าวกลยุทธ ใช้ช่องทางธรรมชาติชักนำพายุทรายขนาดมหึมาพุ่งเข้าใส่ประตูเมืองโดยไม่มีผู้ใดต้านทานได้ ฮิคารินำทัพบุกฝ่าเข้าไปถึงหน้าพระราชวัง แต่ก็ถูกต้อนรับด้วยอาเกฮาที่ปรึกษาของมูเก็น และกองทัพทหารที่ล้อมเป็นชั้นๆ ฮิคาริไม่เหลือทางหนีอีกต่อไป...

    แต่ทั้งหมดนี้เป็นแผน แผนที่ใช้ฮิคาริเป็นตัวล่อ (กงจื้อถวายเศียรชัดๆ) เมื่อทัพศัตรูมารวมตรงนี้เป็นจุดเดียว ก็เปิดโอกาสให้ทัพพิศดารที่นำโดยไรเหมยและทัพตระกูลเหมย ทะลวงฝ่าวงล้อมศัตรูจากแนวหลัง เปิดทางให้ฮิคาริฝ่าเข้าไปยังราชวัง

    ทว่า หน้าประตูวังยืนไว้ด้วยสหายเก่าที่รอคอยฮิคาริอยู่ ริตสึที่บัดนี้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่กระชับอาวุธในมือ ครั้งนี้จะเป็นศึกครั้งสุดท้ายของทั้งสอง ฮิคาริที่ไม่อาจเกลี้ยกล่อมริตสึอีกต่อไป และไม่อาจถอยหนี ไม่อาจใจอ่อนได้อีกแล้ว เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจัดการอย่างเด็ดขาด สุดท้ายริตสึก็สิ้นใจใต้คมดาบของสหายรัก ก่อนตายริตสึฝากความหวังไว้ที่ฮิคาริ ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้ดีขึ้นได้ เปลี่ยนให้โลกใบนี้เป็นโลกที่ "มิกกะ" น้องสาวของริตสึสามารถพบความสุขได้

    แท้จริงแล้วที่ริตสึ กระหายอำนาจ ขวนขวายขึ้นมาเป็นใหญ่โดยไม่เลือกวิธีการ ในอดีตครั้งยังเป็นเพียงทหารหน้าใหม่ บิดาของริตสึถูกทหารในเมืองสังหารด้วยเหตุผลเพียง "รำคาญ" ชีวิตสามัญชนเมืองคูเป็นเช่นนี้เอง ชนชั้นล่างเป็นเพียงหนอนแมลง การตายของชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่งไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่การไต่เต้าสู่จุดสูงเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงได้ หลังสูญเสียบิดา ริตสึก็ทำทุกวิถีทางเพื่อความก้าวหน้า เพียงเพราะต้องการให้น้องสาว ครอบครัวที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวมีชีวิตที่สุขสบายเพียงเท่านั้น...
    ...
    ประตูราชวังค่อยๆเปิดออก
    ร่างกายใต้ชุดเกราะอันแข็งแกร่งสีแดงเจิดจ้ายืนหยัดอยู่บนบัลลังก์
    ชายผู้ไม่เคยรู้จักความพ่ายแพ้ นักรบอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรคูซึ่งบัดนี้คือจักรพรรดิ มูเก็น คู

    ครั้งนี้ฮิคาริไม่มีความลังเลอีกต่อไป เขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อล้างแค้น ไม่ได้ต่อสู้เพื่อเกียรติยศ แต่เขาต่อสู้เพื่อสหาย เพื่อเพื่อนที่สังเวยชีวิต และเพื่อนที่ยืนหยัดเคียงข้างเขา เพื่อนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน

    ด้วยสายเลือดแห่งตระกูลคู มูเก็นกำกระชับดาบยักษ์ สั่งการม้าคู่ใจเข้าสังหาร ฮิคาริไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสู้ด้วยกำลังที่มี

    แต่มูเก็นก็ต้องประหลาดใจเมื่อน้องชายผู้มีสายเลือดอันต่ำต้อย น้องชายผู้อ่อนแอที่เขาดูแคลนตลอดมาบีบให้เขาต้องถอยร่นไปได้ มูเก็นได้เปิดเผยความลับของตระกูลที่ฮิคาริไม่เคยรับรู้

    ตระกูลมารดาของฮิคาริเคยถูกเรียกว่า "สายโลหิตแห่งแสง" ครั้งหนึ่งเคยพยายามที่จะช่วยโลกใบนี้จาก "เงาทมิฬ" แต่สำหรับมูเก็นแล้ว ความเห็นอกเห็นใจไม่อาจนำพาสู่หนทางอันยิ่งใหญ่ มีเพียงความแข็งแกร่ง มูเก็นจึงดูแคลนสายเลือดแห่งแสงเสมอมา และเมื่อมารดาของฮิคาริทำให้บิดาผู้เป็นกษัตริย์เริ่มอ่อนแอลง เริ่มมีความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ มูเก็นจึงตัดสินใจถอนรากถอนโคนสายโลหิตมารดาของฮิคาริให้หมดสิ้น เหลือเพียงฮิคาริที่เบื้องหน้าซึ่งยังคงมีสายโลหิตแห่งแสงไหลเวียนอยู่

    แต่ขณะนั้นเองจิตมารของฮิคาริที่รอคอยโอกาสมาอย่างยาวนาน ก็ฉวยโอกาสกลืนกินฮิคาริเพื่อครอบครองร่าง แต่ครานี้จิตมารแข็งแกร่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

    ฮิคาริที่พลาดท่าไม่อาจขยับตัวได้เลย สติสัมปชัญญะของเขาค่อยๆเลือนราง แต่ขณะที่จิตสำนึกสุดท้ายกำลังจะจางหาย ฮิคาริได้ยินเสียงของเหล่าสหาย คาซันผู้ซึ่งเชื่อมั่นในตัวฮิคาริกว่าใคร ไรเหมยที่เลือกมายืนหยัดอยู่ข้างฮิคาริ และริตสึที่ฝากความหวังไว้ที่ฮิคาริ
    ปาฏิหาริย์บังเกิด ฮิคาริสามารถสยบจิตมารได้โดยสิ้นเชิง

    มูเก็นตกตะลึงที่ฮิคาริสามารถสยบจิตมารได้

    แต่สงครามยังไม่จบ มูเก็นที่ตกตะลึงต่อฮิคาริตรงหน้า ไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ ในที่สุดเขาตัดสินใจหยิบดาบโลหิตมืดออกมา ไอพลังสีม่วงดำถูกปลดปล่อยครอบครองร่างมูเก็นและเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นอสูรโดยสมบูรณ์ กลายเป็นร่างจุติของมารเงา "ราชาผู้ถูกปกคลุม"
    "ดับเปลวไฟ เพรียกหาราตรีกาล"
    ประโยคอันไร้ที่มาที่ไปถูกกล่าวขึ้นซ้ำๆจากปากมูเก็นซึ่งบัดนี้ไม่เหลือสติสัมปชัญญะอีกต่อไป

    ฮิคาริที่บัดนี้พิชิตจิตมารของตัวเอง จับดาบเข้าปะทะมูเก็นอีกครั้ง

    และด้วยสกิลพระเอก ฮิคาริสามารถสังหารมารเงาในคราบมูเก็นได้ในที่สุด มูเก็นผู้อยู่ใต้ชุดเกราะเสมอมา สิ้นใจในชุดเกราะนั้นเอง ปิดฉากมหาสงครามของตระกูลคูลงในที่สุด
    ...
    ฮิคาริในชุดฉลองพระองค์เต็มยศเดินออกมาเพื่อพบปะประชาชนเป็นครั้งแรก กลับถอดมงกุฏที่เป็นสัญลักษณ์ของราชา ท่ามกลางความตกตะลึงของคนรอบข้าง ฮิคาริได้กล่าวว่า
    "อาณาจักรคูติดอยู่ในวังวนแห่งสงครามมายาวนาน บัดนี้ข้าขอสะบั้นวงจรอันน่าชิงชังนี้"
    "ประเทศที่เคยถูกยึดครอง ถูกช่วงชิงแผ่นดินโดยอาณาจักรคู บัดนี้พวกท่านเป็นอิสระแล้ว"
    "ไม่เกี่ยวกับต้นกำเนิด ความร่ำรวย หรือชาติตระกูล เราทุกคนจะก้าวไปสู่อนาคตร่วมกัน"
    "ข้าขอให้ทุกคนร่วมมือกับข้า สร้างประเทศที่จะไม่มีสงคราม ไม่มีการนองเลือด จะมีแต่สันติภาพ และความรัก"

    บัดนี้ หน้าประวัติศาสตร์ของอาณาจักรคู ได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...

    - บทแห่งนักรบ -
    -จบบริบูรณ์- 


 

หลังจากการเดินทางอันยาวนานของนักเดินทางทั้ง 8 จนถึง Cross Path เนื้อเรื่องร่วมของสองนักเดินทาง 4 คู่ อันนำไปสู่บทสุดท้ายของมหากาพย์ 8 นักเดินทาง  "การเดินทางสู่รุ่งอรุณ"  เอาจริงๆเนื้อเรื่องตอนจบไม่ยาวมาก แต่จะยาวตรงบันทึก 17 ฉบับซึ่งจะเฉลยปมเกือบทั้งหมดของเกม ความเกี่ยวพันของแต่ละตัวละครที่หลายตัวไม่ได้เฉลยในเนื้อเรื่องหลัก

  • ตัวตนของคล็อด พ่อที่แท้จริงของโทรเน่
  • บันทึกของโอโบโร่ที่พบในบทแรกของฮิคาริ โอโบโร่คือใคร?
  • ผู้นำสูงสุดของภาคีเงาจันทรา ผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ชาวคาล?
  • ตัวตนของนักล่าแห่งความมืด และที่มาของสัคว์อสูรที่โอเช็ตไม่ได้เลือก (ลาสบอสในเนื้อเรื่องโอเช็ต)
  • ที่มาของฝนม่วงที่ทรูโซ ลาสบอสของแคสตี้นำมาใช้
  • รัตติกาลจักร่วงหล่น...รัตติกาลคือ?

 




นักวิชาการและพ่อค้า

  • ตอนที่ 1

    ระหว่างที่ออสวอลและพาทิชิโอเดินทางมาถึงเมิองนิวเดลสตา ก็ได้พบกับชายลึกลับนอนฟุบอยู่กลางถนน ซึ่งปรากฏว่าเป็นนักวิชาการเพื่อนเก่าของออสวอลนามว่า เรกูลัส ซึ่งหน้ามืดด้วยความหิวโหยเพราะไม่ได้กินอะไรมา 3 วัน 9 ชม. กับอีก 24 นาทีแล้ว (เขาบอกแบบนี้จริงๆ)
    ออสวอลและพาทิชิโอพาเรกูลัสไปหาอะไรกินพร้อมกับพูดคุยถึงงานวิจัยที่เรกูลัสกำลังทำอยู่ เรกูลัสกำลังคิดค้นกล้องดูดาวซึ่งเกือบจะเสร็จแล้วแต่ยังขาดวัตถุดิบ 3 ชิ้นคือ อุปกรณ์เหล็ก กระจก และเลนส์
    เรกูลัสที่เก่งด้านงานวิจัยแต่ไม่เก่งเรื่องเงินๆทองๆ เขาล้มเหลวด้านนี้โดยสิ้นเชิง พาทิชิโอจึงอาสานำเงินก้อนสุดท้ายของเรกูลัสไปหาซื้ออุปกรณ์ดังกล่าว

  • ตอนที่ 2

    ออสวอลด์และพาทิชิโอที่ดูจะไม่ค่อยลงรอยกันเรื่องรสนิยมการดื่มเท่าใดนัก เดินทางมายังเมืองมอนท์ไวส์เพื่อมาเยี่ยมเรกูลัสและผลงานประดิษฐ์ที่ห้องวิจัยของเขา แต่กลับพบเรกูลัสนอนเฉาอยู่ในห้อง กล้องส่องทางไกลถูกขโมย และเช่นเคยเขาหน้ามืดเพราะไม่ได้กินอะไรมา 6 วัน 19 ชม. กับอีก 4 นาที (เขาบอกแบบนี้จริง ๆ อีกอะแหละ)

    หลังฟื้นตัว เรกูลัสเล่าว่าแท้จริงแล้วไปกู้เงินจากเจ้าหนี้เงินกู้ แต่ไม่สามารถหาเงินมาใช้คืนได้หมดจึงจำเป็นต้องเอากล้องดูดาว สุดยอดผลงานประดิษฐ์ของเขาไปขัดดอก ออสวอลด์และพาทิชิโอจึงอาสาไปเจรจาให้

    แต่เมื่อถึงบ้านเจ้าหนี้ ทั้งสองได้ยินเหล่าลิ่วล้อคุยกันว่า เรกูลัสนั้นจ่ายเงินจนเกินหนี้ที่กู้มาแล้ว แต่โดนหลอกให้จ่ายเงินเจ้าหนี้เงินกู้อีกเรื่อยมาไม่จบสิ้น บัดนี้ออสวอลด์กับพาทิชิโอมีความเห็นตรงกันแล้ว ทั้งสองบุกเข้าไปถล่มรังเจ้าหนี้ และชิงเอากล้องดูดาวกลับมาได้ในที่สุด

    คืนนั้น สามหนุ่มลองส่องกล้องดูดาวอย่างสนุกสนาน ออสวอลด์พบดาวประหลาดสีแดงกับน้ำเงิน เรกูลัสรู้สึกแปลกใจเพราะดาวดังกล่าวจริงๆแล้วไม่สมควรจะเห็นได้ในช่วงเวลานี้ เรกูลัสยังกล่าวอีกว่าช่วงหลังมานี้เขาลองคำนวณเวลาและพบว่า ช่วงเวลากลางวันสั้นลงทุกวัน ขณะที่ช่วงกลางคืนยาวขึ้นทีละน้อยทุกที

    เหตุการณ์เหล่านี้ มีเบื้องหลังเช่นไรกันแน่....

    - บท นักวิชาการและพ่อค้า -
    - จบ -




นักบวชและโจร

  • ตอนที่ 1

    โทรเน่พูดคุยกับเทมินอสถึงข่าวลือของสมบัตินามว่า "อัลพาทิส" ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในโบสถ์ใหญ่ของศาสนจักร (โบสถ์ที่สังฆราชถูกสังหารในเนื้อเรื่องของเทมินอส) โทรเน่เกลี้ยกล่อมเทมินอสที่อยากรู้เช่นกันว่าสังฆราชเก็บซ่อนสมบัติใดไว้จึงยอมร่วมมือกับโทรเน่โดยให้โจรสาวรับปากว่า จะไปดูสมบัติอย่างเดียว ไม่ขโมยของใดๆทั้งสิ้น (เชื่อได้แน่นะ?)

    ทั้งสองสืบหาข้อมูลจนพบกับช่างไม้ชราขี้ลืมที่เป็นสหายเก่าของสังฆราช ช่างไม้ชราพาทั้งสองไปถึงโบสถ์ใหญ่และเปิดช่องทางลับที่ไม่มีผู้ใดเคยรู้ ทั้งสองเข้าไปตามทางจนนำไปสู่ห้องเล็กๆใต้หลังคาโบสถ์ ที่นั่นทั้งสองได้พบดรุณีนางหนึ่งนามว่า "อัลพาทิส" แท้จริงแล้วอัลพาทิสไม่ใช่สมบัติแต่เป็นหญิงสาว อัลพาทิสเล่าว่านางสืบทอดชื่ออัลพาทิสนี้จากบรรพบุรุษของนาง ส่งต่อมารุ่นสู่รุ่น นางอาศัยอยู่ในห้องลับนี้ไม่เคยออกไปเบื้องนอก หลังจากได้รู้ข่าวการเสียชีวิตของสังฆราชจากเทมินอส อัลพาทิสกล่าวว่านางรู้สึกถึง "เปลวเพลิง" ข้างในร่างของเทมินอสและโทรเน่ นางได้มอบ "เศษกระจก" ชิ้นหนึ่งให้กับเทมินอสพร้อมกล่าวว่า "ฉันจะต้องกลับไปที่ตระกูลเพื่อเติมเต็มภารกิจ" จากนั้นนางก็เดินทางจากไป และทิ้งคำพูดไว้หนึ่งประโยค "พวกท่านเคยวาดหวังถึงรุ่งอรุณหรือไม่?"

  • ตอนที่ 2

    เทมินอสและโทรเน่มาถึงเมืองคอนนิ่งครีก ทั้งสองได้พบสาวน้อย "อัลพาทีส" อีกครั้งแต่อยู่ในสภาพถูกฆาตกรรม ทั้งสองลอบเข้าไปหาศพหญิงสาว สภาพศพมีร่องรอยการถูกทรมานเพื่อเค้นข้อมูล แต่ถูกฆ่าเนื่องจากหญิงสาวไม่ได้เปิดเผยข้อมูลใดๆ หลังค้นศพทั้งสองพบกระดาษแผ่นหนึ่งซ่อนเอาไว้อย่างดีในเสื้อผ้า เป็นข้อความประโยคหนึ่งว่า "ที่ซึ่งกลางวันพบกลางคืน" และมีแผนที่ของ "ถ้ำสุริยันจันทรา" ซึ่งเป็นถ้ำที่อยู่นอกเมือง ทั้งสองเดินทางไปยังถ้ำแห่งนั้นทันที

    ถ้าสุริยันจันทราเป็นถ้ำประหลาดที่บางส่วนของถ้ำจะส่องสว่างในยามกลางวัน และบางส่วนส่องสว่างในยามกลางคืน ทั้งสองเข้าไปด้านในสุดของถ้ำและพบพื้นวงกลมประหลาด ด้วยความสามารถจิตสมาธิของเทมินอสทำให้ไชปริศนา "ที่ซึ่งกลางวันพบกลางคืน" ได้ในที่สุด เป็นแผ่นหินก้อนหนึ่งที่อยู่ในพื้นวงกลมนั้นเอง ที่นั่นซ่อนแผ่นกระดาษบันทึกข้อความว่า
    "ถึงผู้ซึ่งวาดหวังยามรุ่งอรุณ"
    ทั้งสองยังพบชิ้นส่วนของกระจกซึ่งนำมาประกอบกับเศษกระจกที่ทั้งสองได้รับจากอัลพาทีสได้พอดี จนกลายเป็น "กระจกเมฆา"

    หลังกลับออกมาจากถ้ำ เทมินอสและโทรเน่พูดคุยกันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เทมินอสรำลึกได้ว่า ชื่ออัลพาทีสมีความเกี่ยวพันกับตำนานบรรพกาล
    "ในอดีต อัลฟริค เทพผู้เรียกเพลิง ได้ทิ้งสตรีนางหนึ่งไว้ในโลกใบนี้เพื่อให้เป็นคู่ครองกับมนุษยชาติ ชื่อของนางผู้นั้นคือ อัลพาทีส"
    "หลังการสิ้นใจของอัลพาทีส ลูกหลานของนางได้ถูกปกคลุมด้วยความสิ้นหวัง อัลฟริคจึงสร้างกระจกบานหนึ่งจากร่างกายของนาง แสงอันอบอุ่นจากกระจกบานนั้นช่วยผ่อนคลายสายโลหิตของนางจากความเศร้าโศก"

    มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า หญิงสาวที่ถูกฆาตกรรมจะเป็นผู้สืบสายโลหิตของเทพ? ภารกิจของอัลพาทีสคือการปกป้องกระจกบานนี้?

    ยังมีปริศนาหนึ่งที่ยังไม่กระจ่าง
    เหตุใดอัลพาทีสจึงทิ้งชิ้นส่วนกระจกให้กับทั้งสอง?
    ทั้งสองตั้งมั่นว่า จะสานต่อเจตนารมของอัลพาทีสต่อไปให้จงได้...

    - บทนักบวชและโจร -
    -จบ-



หมอสมุนไพรและนักล่า

  • ตอนที่ 1

    โอเช็ตตามกลิ่นอาหารมาถึงหมู่บ้านครอปเดล หมู่บ้านเล็ก ๆ ชายป่า โอเช็ตและแคสตี้ที่ติดตามมาด้วยซื้อเนื้อจากชาวบ้าน แต่เมื่อกินลงกลับพบว่ารสชาติไม่ค่อยดีนัก แม่ค้าอธิบายว่าหมู่บ้านมีแต่เนื้อเก่า ๆ ที่ต้องเอากลิ่นสมุนไพรมากลบ เนื่องจากพักนี้ำม่สามารถออกล่าเนื้อสัตว์ได้เลย โอเช็ตและแคสตี้จึงอาสาเข้าป่าไปค้นหาสาเหตุ

    ทั้งสองล่วงลึกเข้ามาที่ป่าด้านใน แต่ต้องถูกขัดขวางด้วยหมูป่ายักษ์ "ดัวดัวร์" ทั้งสองจัดการหมูป่าลงจนหมูป่าหลบหนีไป แคสตี้สังเกตว่าหมูป่าตัวนั้นบาดเจ็บจึงหวังจะตามไปรักษา ระหว่างทางเหล่าสัตว์ป่าพยายามขัดขวางไม่ให้ทั้งสองเข้าไปถึงตัวหมูป่ายักษ์ได้เพราะคิดว่าจะมาทำร้าย (ไม่ต้องแปลกใจที่เข้าใจภาษาสัตว์ เพราะมีโอเช็ตซึ่งเป็นมนุษย์สัตว์ช่วยแปลให้)

    สุดทางทั้งสองได้พบหมูป่ายักษ์อีกครั้ง แคสตี้เข้าไปทำแผลให้หมูป่าจนดีขึ้นและตั้งชื่อใหม่ว่า "วูลี่อูลี่" หมูป่ายักษ์ที่ซาบซึ้งใจได้เล่าถึงเหตุผลที่สัตว์ในป่านี้ต้องอยู่อย่างหวาดกลัว เนื่องจากปรากฏ "สัตว์อสูรเงาทมิฬ" ปรากฏตัวขึ้นและทำร้ายสัตว์ในป่า เหล่าสัตว์ทั้งหลายจึงต้องคอยหลบซ่อนตัว

  • ตอนที่ 2

    โอเช็ตและแคสตี้มีโอกาสกลับมาที่เมืองครอปเดลอีกครั้ง แต่รอบนี้กลับไม่พบแม่ค้าเนื้อ ทั้งสองเข้าป่าหวังจะไปดูหมูป่ายักษ์อีกครั้งแต่ต้องพบว่าในป่ากลับเปลี่ยนเป็นความมืดมิดอย่างแปลกประหลาด ทั้งสองได้พบหมูป่าวูลี่อูลี่ที่บาดเจ็บ มีไอพลังงานประหลาดสีม่วงกระจายอยู่รอบตัว แคสตี้วินิจฉัยว่าไอพลังสีม่วงนี้คลับคล้ายกับฝนม่วงของทรูโซ แคสตี้จึงนำยารักษามาใช้กับหมูป่ายักษ์ซึ่งได้ผล แต่ความรู้สึกถึงเหตุร้ายยังคงรุนแรง

    ทั้งสองมุ่งหน้าเข้าไปในป่าด้านใน และกว่าจะรู้ตัวแคสตี้พบว่าโอเช็ตได้หายไปแล้ว มีเสียงเรียกชื่อแคสตี้ดังโหยหวนตามรายทาง บรรยากาศรอบข้างขมุกขมัวมากขึเนเรื่อยๆ แคสตี้เดินลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆ จนพบว่ารอบกายมีแต่ความมืดมิด แคสตี้พบอสูรรูปร่างคล้ายมือนับไม่ถ้วนออกมาจากกลุ่มไฟสีม่วงแต่นางไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้ ในช่วงเวลาอันสิ้นหวังนั้น โอเช็ตได้ปรากฏตัวออกมาขัดขวางจนแคสตี้ได้สติกลับคืนมา ปีศาจตนนี้เป็นอสูรเงาทมิฬที่ใช้ความรู้สึกด้านลบของจิตใจครอบงำมนุษย์ แต่กลับไม่อาจสัมผัสถึงด้านลบของจิตใจโอเช็ตได้เลย โอเช็ตและแคสตี้ที่เรียกสติกลับมาได้แล้วเข้าต่อสู้กับอสูรเงาทมิฬและจัดการลงได้

    แสงสว่างกลับคืนมาสู่ป่า เหล่าสรรพสัตว์ต่างของคุณโอเช็ตและแคสตี้เป็นอันมาก จบเรื่องราวการเดินทางอันแปลกประหลาดของหมอสมุนไพรและนักล่าแต่เพียงนี้..

    - บทหมอสมุนไพรและนักล่า -
    -จบ-


 



นักเต้นและนักรบ

  • ตอนที่ 1

    นักเต้นแอคเนีย และนักรบฮิคาริ เดินทางมาถึงหมู่บ้านริว หมู่บ้านเล็ก ๆ กลางทะเลทราย ที่นั่นทั้งสองได้พบนักดนตรีผู้หนึ่งบรรเลงดนตรีอันไพเราะยิ่ง

    นักดนตรีมีนามว่า "โยมิ พันโทน(เสียง)" นักดนตรีพเนจรผู้เดินทางไปทั่วแผ่นดิน ทั้งสองชื่นชมฝีมือของโยมิเป็นอันมาก ฮิคาริตัดสินใจมอบเงินเป็นค่าจ้างสำหรับการบรรเลงดนตรี โยมิรับคำ แต่ขอเวลาเตรียมตัว 1 คืน

    คืนถัดมา แอคเนียและฮิคาริกลับมาจุดเดิมอีกครั้ง โยมีในชุดใหม่เอี่ยมยืนรออยู่ ทั้งสองรอฟังเพลงของโยมิแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อสายพิณของโยมิขาด ด้วยทักษะขอทิปของแอคเนียทำให้ทั้งสองนำขนหางม้ามาให้โยมิ โยมิยินดีเป็นอันมากแต่ก็ขอเวลาเตรียมการ 1 คืน (อีกแล้ว)

    อีกคืนถัดมา ทั้งสองกลับมาที่จุดเดิมแต่กลับไม่พบโยมิ นางไม่ได้เบี้ยวแต่อย่างใด แค่ไปยืนดื่มดำบรรยากาศคืนจันทร์ฉายบนยอดเขา สุดท้ายทั้งสองก็ได้ฟังเพลงสมใจ

    หลังเพลงจบ ฮิคาริรู้สึกคุ้นเคยกับบทเพลงนี้นัก ในอดีตฮิคาริเคยมีเพื่อนชื่อ "สึกิ" บรรเลงบทเพลงนี้ให้เขาเช่นเดียวกัน แต่เพลงที่ฟังจากโยมิในวันนี้นั้นเศร้าสร้อยกว่ามากนัก...

  • ตอนที่ 2

    แอคเนียและฮิคาริกลับมายังเมืองคู เมืองหลวงของอาณาจักรที่บัดนี้ตามบ้านเรือนติดโคมกระดาษซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการรำลึกถึงผู้ตาย เบงเคย์ผู้ติดตามของฮิคาริเสนอว่าต้องการจัดงานฉลองครองราชย์ของฮิคาริ แต่ฮิคาริไม่เห็นด้วยนักเนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาผู้คนล้มตายเป็นอันมาก ไม่ควรจัดงารเฉลิมฉลอง แต่แอคเนียเสนอว่าเช่นนั้นเหตุใดเราไม่จัดงานฉลองโดยการรำลึกถึงผู้ตายไปด้วย

    ทั้งหมดเห็นด้วยจึงตระเตรียมอุปกรณ์พิธีต่างๆ เบงเคย์เสนอให้แอคเนียเป็นผู้เต้นรำในงานพิธี ฮิคาริจึงเสนอเพิ่มเติมว่าเช่นนั้นควรหานักดนตรีมาบรรเลงร่วม เบงเคย์แจ้งว่าช่วงนี้ชาวเมืองต่างได้ยินเสียงพิณบรรเลงจากนอกเมืองช่างไพเราะนัก แอคเนียกับฮิคาริจึงเสนอตัวไปชวนนักดนตรีผู้นั้นมา

    ทั้งสองเดินทางไปยังอุโมงค์สงบสุข (ที่ไม่ค่อยจะสงบสุขดังชื่อเท่าไหร่ มอนโหดมาก) ซากอารยธรรมเก่าแก่ไม่ไกลจากเมืองคูมากนัก ด้านในสุดทั้งสองได้พบกับนักดนตรีโยมิอีกครั้ง นางเข้ามาเพื่อรำลึกถึงพี่น้องฝาแฝดของนางที่เสียชีวิตไป
    ...
    แท้จริงแล้วโยมิในวัยเด็กมีพี่น้องฝาแฝดผู้หนึ่งซึ่งรักกันเป็นอันมาก แต่ทางบ้านยากจนเข็ญใจนัก คืนหนึ่งทั้งสองได้ยินบิดามารดาคุยกันว่าไม่อาจเลี้ยงดูบุตรทั้งสองพร้อมกันได้เนื่องจากยากจน อาจจำเป็นต้องทิ้งลูกสักคนไว้บนภูเขา โยมิได้ยินดังนั้นหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่พี่สาวฝาแฝดยิ้มพร้อมกุมมือโยมิจนหลับไหลลง

    วันรุ่งขึ้นโยมิตื่นมาพร้อมความว่างเปล่า พี่สาวฝาแฝดของนางได้จากไปแล้ว "สึกิ" พี่สาวฝาแฝดของโยมิได้เข้าไปเป็นเด็กรับใช้ของเชื้อพระวงศ์ ซึ่งได้กลายเป็นสหายของฮิคาริในเวลาต่อมา

    แต่ในเหตุการณ์รัฐประหารพระราชองค์ก่อน (เหตุการณ์ในเนื้อเรื่องฮิคาริบทแรก) บ้านเรือนถูกเผาทำลาย ในเหตุการณ์นั้นสึกิได้จบชีวิตลง ส่วนฮิคาริต้องหนีตายออกจากเมือง

    โยมิรู้ดีว่าทั้งหมดมิใช่ความผิดของฮิคาริ แต่นางไม่อาจอยู่ได้โดยไม่โยนความอาฆาตใส่ผู้ใด โยมิท้าสู้กับฮิคาริตัวต่อตัวเพื่อล้างแค้น แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะฮิคาริได้

    ในท้ายสุด ทั้งสองปรับความเข้าใจ โยมิยินยอมตามกลับเมืองเพื่อบรรเลงบทเพลงในงานเฉลิมฉลอง เป็นงานฉลองที่รำลึกถึงเหล่าผู้วายชนม์ และสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป...

    - บท นักเต้นและนักรบ -
    -จบ-

 

 

 



บทส่งท้าย การเดินทางสู่รุ่งอรุณ

(Octopath Traveler II Epilogue Journey for the dawn)

นักเดินทางทั้งแปดก่อไฟตั้งแคมป์กัน ณ ลานกว้างริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ทุกคนต่างอิ่มเอมกับความสงบสุขหลังการเดินทางอันยาวนาน เป็นความสงบที่หาได้ยากยิ่ง
คืนนั้นทั้งหมดมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ดาวตกปรากฏด้วยความงดงาม ทั้ง 8 ต่างหลับพักผ่อนกัน ณ ที่นั้น

คืนนั้นปรากฏความฝันอันแปลกประหลาด เป็นสถานที่อันไม่คุ้นเคย รูปร่างเหมือนประตูมิติขนาดใหญ่ รอบข้างเต็มไปด้วยแท่งหนามประหลาด ทั้ง 8 ต่างตื่นขึ้นมาพร้อมกันและพบว่า ทุกคนเห็นความฝันแบบเดียวกันทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ทำให้ต้องประหลาดใจกว่านั้น ดูเหมือนว่ารอบบริเวณกลายเป็นความมืดมิด ความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วทวีป ทันใดนั้นเอง ปรากฏอสูรเงาบุกเข้ามาทำร้าย เป็นอสูรเงาแบบเดียวกับที่บุกหมู่บ้านมนุษย์สัตว์ในภัยพิบัติคืนจันทร์สีแดงเลือด ออสวอลยังสังเกตอีกว่าลักษณะไอพลังช่างละม้ายกับธาตุ "เงา" ที่ฮาร์วี เพื่อนรักเพื่อนแค้นของเขาเรียกออกมาใช้เป็นเวทมนตร์ที่แท้จริงหนึ่งเดียว นี่มันไม่ปกติแล้ว...


  • บท ซากปรักหักพังเฟลซัน

    ทั้งหมดเดินทางมาที่ซากปรักหักพังเฟลซัน หรือเดิมคือซากปรักหักพังคาล สถานที่ซึ่งเคยเป็นของเหล่าผู้คนชาวคาล ผู้พิทักษ์แห่งเพลิงที่เคยถูกสังหารหมู่โดยกลุ่มภาคีเงาจันทรา (เนื้อเรื่องบทที่ 3-1 ของหลวงพี่เทมินอส) ภายในซากปรักหักพัง ทั้งหมดได้พบบันทึกการเดินทางทั้งสิ้นสิบเจ็ดฉบับ

    หนึ่งกล่าวถึงเจ้าของที่เขียนเล่าถึงความดีใจที่ได้งานเป็นนักหนังสือพิมพ์ กล่าวถึงหนังสือพิมพ์ที่เป็นแหล่งรวมข้อมูลข่าวสารต่างๆทั่วโลก และกล่าวถึงความต้องการค้นหาความลับที่ผู้คนเก็บซ่อน ตอนท้ายกล่าวถึงพี่ชายที่มีสายตาคมกล้าดุจอินทรี

    สองกล่าวถึงสองพี่น้องที่อยู่ในเหตุการณ์สังหารหมู่ แต่รอดมาได้ด้วยความชาญฉลาดของพี่ชายที่ยอมจำนนต่อราชาฝ่ายตรงข้าม ตอนท้ายกล่าวถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่ปล้นชิง ฆ่าฟัน ยึดครอง สองพี่น้องเห็นตรงกันว่าโลกใบนี้ไม่สมควรจะได้พบเห็นรุ่งอรุณอีกต่อไป ชีวิตมนุษย์ช่างน่ารังเกียจ ใยไม่ทำให้มันสั้นลง

    สามกล่าวถึงพี่ชายที่ไหว้วานน้องสาวให้ส่งจดหมายถึงไรเหมย กล่าวถึงการระดมทุนในเมืองมอนท์ไวส์ (เมืองหอสมุดของฮาร์วี และเมืองกลาดิเอเตอร์ของฮิคาริ) กล่าวถึงฮิคาริที่จะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับทุกสิ่งในเมืองคู ผู้เขียนรู้ถึงตัวตนอีกด้านของฮิคาริ รู้ถึงสายเลือดต้องสาปของตระกูลคู สายเลือดที่ถูกผสมผสานจากมหาจอมเวทย์ดาเคส ตอนท้ายผู้เขียนสงสัยว่าเหตุใดสายตาของฮิคาริยังคงส่องประกายทั้งที่พบเจอสงครามอันโหดร้ายเดียวกัน

    สี่กล่าวถึงฮิคาริที่ถูกจับก่อนผู้เขียนจะมีโอกาสได้ส่งจดหมายถึงไรเหมย (เหตุการณ์ในบทที่ 4 ของฮิคาริ) หากฮิคาริถูกฆ่า แผนการทั้งหมดจะถูกทำลาย กล่าวถึงความเกลียดชังเมืองสตอร์มเฮลที่หนาวเย็น (เมืองของตระกูลเหมย) กล่าวถึงการเดินทางไปถึงเมืองสตอร์มเฮลซึ่งตอนนั้นฮิคาริถูกปล่อยตัวแล้ว ตอนท้ายกล่าวถึงผู้เขียนที่ส่งจดหมายให้หนึ่งในผู้ติดตามของไรเหมย

    ห้ากล่าวถึงออสวอลด์ที่ถูกตัดสินคุมขัง ผู้เขียนประหลาดใจที่คณะลูกขุนเหตุใดไม่สั่งประหารชีวิตออสวอลด์ ผู้เขียนเร่งรีบไปพบฮาร์วี และได้รู้ว่าฮาร์วีจงใจติดสินบนผู้พิพากษาให้ออสวอลด์ไม่ตายเพื่อที่จะได้เห็นเวทมนตร์อันสมบูรณ์แบบของฮาร์วี ผู้เขียนสบถด่าความโง่เขลาของฮาร์วีในใจ เขียนถึงความต้องการให้ "คัมภีร์แห่งมาร" เสร็จสมบูรณ์ และกังวลว่าออสวอลด์จะมาแทรกแซง ตอนท้ายผู้เขียนรายงานต่อพี่ชายซึ่งกล่าวเพียงให้รอชมความสนุกสนาน และกล่าวถึงการไปเก็บข้อมูลที่เกาะเยือกแข็ง (เกาะคุกที่ออสวอลด์ถูกขัง)

    หกกล่าวถึง "คัมภีร์แห่งมาร" ที่ใกล้เสร็จสมบูรณ์ ผู้เขียนมาแจ้งข่าวการตายของออสวอลด์ต่อฮาร์วี (เหตุการณ์เรือผู้ตรวจการถูกเผาในบทออสวอลด์บทที่ 2) แต่ฮาร์วีกลับมั่นใจว่าออสวอลด์ยังมีชีวิตอยู่และต้องมาหาเขา (ช่วงเหตุการณ์ในบทออสวอลด์ บทที่ 4) ตอนท้ายผู้เขียนแสดงความยินดีที่ออสวอลด์จะมาล้างแค้นฮาร์วี เพื่อที่ตัวเองจะฉวยโอกาสฉกชิงคัมภีร์แห่งมารจากฮาร์วี

    เจ็ดกล่าวถึงการต่อสู้ระหว่างออสวอลด์กับฮาร์วีในสุสานมหาจอมเวทย์ดาเคส (เหตุการ์ในออสวอลด์บทสุดท้าย) กล่าวถึงคัมภีร์แห่งมารที่เสร็จสมบูรณ์ในที่นั้น และฮาร์วีที่หนีรอดไปได้หลังการต่อสู้? ตอนท้ายกล่าวถึงความสงสัยต่อพลังเวทที่ส่องแสงเจิดจ้า และเด็กหญิงคนนั้นว่ามีพลังพิเศษใดอยู่ภายใน

    แปดกล่าวถึงออสวอลด์ที่ฝากเอลิน่าไว้กับผู้ช่วย (คลาริสซ่า) กล่าวถึงสายเลือดตระกูลลูมิน่า (ตระกูลภรรยาของออสวอลด์) ที่เหมือนกับตระกูลอัลพาทีส ผู้เขียนเฝ้าคอยสังเกตการณ์เอลิน่าอยู่ แต่ผู้เขียนต้องตกใจที่คลาริสซ่ารู้ตัวแต่เนียนทำเป็นชวนสมัครสมาชิกหนังสือพิมพ์ ตอนท้ายผู้เขียนไม่พบความผิดปกติใดในตัวเอลิน่า จึงย้ายไปทำสิ่งอื่น

    เก้ากล่าวถึงผู้เขียนที่อยู่ ณ เมืองคานัลไบรน์ กล่าวถึงคนที่มีหน้าหนังสือที่หายไปของคัมภีร์แห่งราตรีกาล (เนื้อเรื่องของเทมินอสบทที่ 2) กล่าวถึงความกังวลว่าเทมินอสที่เข้ามาเคลื่อนไหวในเมืองขณะนั้นจะสร้างปัญหาให้ ตอนท้ายกล่าวถึงคัมภีร์แห่งราตรีกาลที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ และกล่าวถึงการเป็นพันธมิตรกับคัลดีน่า

    สิบกล่าวถึงคัลดีน่าผู้ถูกขับเคลื่อนด้วยความแค้นและทำพิธีกรรมเรียกพลังของเงาทมิฬ (เหตุการณ์ของเทมินอสบทสุดท้าย) ซึ่งผู้เขียนซ่อนตัวอยู่ในที่นั้นด้วย แต่ผู้เขียนรู้ดีว่าคัลดีน่าไม่มีทางทำสำเร็จเพราะพิธีกรรมไม่สมบูรณ์ และกล่าวถึงเทมินอสที่ปรากฏตัวมาจัดการคัลดีน่าอย่างถูกเวลา ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนเป็นดั่งนักควบคุมตุ๊กตา คอยบงการเรื่องราวทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง ตอนท้ายผู้เขียนสามารถหยิบฉวยคัมภีร์แห่งราตรีกาลกลับไปได้ เมื่อรวมกับคัมภีร์แห่งมาร ก็จะสามารถเติมเต็ม "คัมภีร์มนตร์ดำ โลหิตมืด" ให้สมบูรณ์ได้

    สิบเอ็ดกล่าวถึงเหตุการณ์ฝนสีม่วงในเมืองทิมเบอร์เรน (เหตุการณ์ในแคสตี้บทสุดท้าย) ผู้เขียนกล่าวย้อนถึงหนึ่งปีก่อน ทรูโซ (ผู้สร้างฝนสีม่วง) เดินทางไปเมืองลอสต์ซีดและได้พบกับคล็อด (พ่อที่แท้จริงของโทรเน่) คล็อดส่งมอบคัมภีร์แห่งราตรีกาลให้ทรูโซ คล็อดชวนทรูโซให้มาร่วมงานแต่ไม่สำเร็จ ตอนท้ายผู้เขียนกล่าวถึงแคสตี้ที่สามารถหยุดทรูโซและฝนม่วงได้ หมายความว่า ยารักษาของแคสตี้สามารถต่อสู้กับพลังเงาทมิฬได้!! และผู้เขียนจะต้องเตือนพี่ชายให้ระวังเรื่องนี้ไว้

    สิบสองกล่าวถึงผู้เขียนที่พบพาทิชิโอในเมืองคล็อคแบงค์ (เหตุการณ์ของพาทิชิโอในบทที่ 2) ผู้เขียนเชื่อว่าพาทิชิโอในตอนท้ายก็จะละโมภไม่ต่างกับผู้อื่น แต่ผู้เขียนก็สนใจและคอยติดตามพาทิชิโอหลังจากนั้น

    สิบสามกล่าวถึงพาทิชิโอที่เปลี่ยนเมืองที่แห้งแล้งกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ (พาทิชิโอบทที่ 3) ผู้เขียนกล่าวถึงความประทับใจที่มีต่อพาทิชิโอ เป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนช่วยเหลือผู้คนโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจ ตอนท้ายผู้เขียนตั้งคำถามว่าพาทิชิโอจะนำเงิน 8 หมื่นล้านมาช่วยโลกจริงๆหรือ?

    สิบสี่กล่าวถึงพาทิชิโอที่ชนะสิทธิ์เทคโนโลยีเครื่องจักรไอน้ำ (เหตุการณ์ของพาทิชิโอบทสุดท้าย) ผู้เขียนตกใจมากที่พาทิชิโอส่งมอบเทคโนโลยีนี้ให้แก่ผู้คนดังที่เขาเคยบอกไว้ ผู้เขียนไม่อยากเชื่อเพราะไม่เคยมีใครที่พบเจอจะไม่เห็นแก่ตัว ผู้เขียนสงสัยยิ่งว่าพาทิชิโอแตกต่างจากผู้อื่นจริง ๆ?

    สิบห้ากล่าวถึงพี่ชายที่ทำข้อตกลงกับฮาร์วี สร้างคัมภีร์แห่งมารซึ่งว่ากันว่าปลุกเสกด้วยพลังเวทของมหาจอมเวทดาเคส โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟู "คัมภีร์มนตร์ดำ โลหิตมืด" ซึ่งแม้แต่พี่ชาย หรือคล็อดก็ไม่สามารถทำได้ แต่ฮาร์วีสามารถกระทำ ทั้งสองจึงร่วมมือกัน ผู้เขียนและพี่ชายวางอุบายให้ฮาร์วีได้อ่านคัมภีร์แห่งราตรีกาลเพื่อดึงฮาร์วีมาเป็นพวก แต่ผู้เขียนไม่ไว้วางใจฮาร์วีโดยสิ้นเชิง

    สิบหกกล่าวถึงผู้เขียนที่พบคล็อด (พ่อที่แท้จริงของโทรเน่) ในเมืองลอสต์ซีด แท้จริงแล้วคล็อดคือผู้สืบทอดของมหาจอมเวทดาเคส ในอดีตมหาจอมเวทซึ่งเป็นปู้ของคล็อดได้ให้คล็อดดื่มโลหิตของ "เทพแห่งความมืด วีเด้" ตั้งแต่คล็อดยังอยู่ในครรภ์ นั่นจึงทำให้คล็อดได้รับพลังของชีวิตนิรันดร์ ด้วยการมีสายเลือดของมหาจอมเวทและเทพมารวีเด้ นั่นทำให้คล็อดกลายเป็นผู้เหมาะสมในการเป็นภาชนะของเทพมาร แต่คล็อดกลับปฏิเสธและส่งมอบหน้าที่นี้ให้แก่ทายาท คล็อดจึงผลิตทายาทออกมามากมาย....และในตอนท้ายคล็อดได้ส่งมอบ "คทาโลหิตมืด" แก่ผู้เขียน เพื่อให้ส่งมอบต่อให้สตรีนาม "อาร์คาเน็ต" ใช้จัดการกับเพลิงศักดิ์สิทธิ์

    สิบเจ็ดกล่าวถึงผู้เขียนที่ได้พบกับ "กลิ่นไอดิน" สตรี่ที่รู้จักในนาม "นักล่าแห่งความมืด" ผู้เขียนแนะนำนางให้รู้จักกับฮาร์วีเมื่อหลายปีก่อนตามคำสั่งของ "อาร์คาเน็ต" ซึ่งนักล่าแห่งความมืดผู้นี้ได้ติดตามรับใช้อาร์คาเน็ตตั้งแต่ยังเด็ก ออกล่าอสูรในตำนานซึ่งเป็น "ผู้พิทักษ์แห่งเพลิงแรกกำเนิด" ออกล่ามนุษย์เพื่อครอบครองธนูโลหิตมืด (ธนูที่มีการกล่าวถึงโดยรอยในบทที่ 3-1 ของเทมินอส) ทั้งหมดตามคำสั่งของอาร์คาเน็ตทั้งสิ้น นักล่าแห่งความมืดยังครอบครองสัตว์อสูรจากโตโตฮาฮา (อสูรซึ่งโอเช็ตไม่ได้เลือกและกลายเป็นลาสบอสของเนื้อเรื่องโอเช็ต) สัตว์อสูรตนนี้ถูกนำไปทดลองโดยฮาร์วีมานานหลายปีจนกลายพันธุ์และชิงชังโลกใบนี้ ตอนท้ายผู้เขียนกล่าวถึงการปล่อยให้นักล่าแห่งความมืดเป็นคนจัดการ "เพลิงของโตโตฮาฮา"

    (ถึงตรงนี้ทุกคนคงเดาได้แล้วว่าผู้เขียน และพี่ชายที่กล่าวถึงนี้คือ...)

    ด้านในสุดของซากปรักหักพัง มีรูปปั้นของ "ใบเฟลกัน เทพแห่งการค้า" และ "เอลฟาน เทพแห่งปัญญา" ออสวอลและพาทิชิโอนำกระจกเมฆาออกมาตรงหน้าคบเพลิงที่อยู่ระหว่างสองรูปปั้นเทพ (กระจกเมฆาได้จากบทไขว้ นักบวชและโจร) กระจกสะท้อนภาพอดีต เป็นโอรินักข่าวสาวที่เข้ามาถึงตรงนี้ และใช้พลังของคัมภีร์มนตร์ดำ โลหิตมืด ย้อมเพลิงสีครามที่อยู่ในซากปรักหักพังนี้มายาวนานให้ดับลง ในตอนท้ายโอรินึกถึงพาทิชิโอขึ้นมา ก่อนจะล้มฟุบไป

    หลังภาพสะท้อนจากกระจก ทั้งสองจุดเพลิงสีครามกลับมาได้เป็นผลสำเร็จ แสงสว่างกลับคืนสู่สถานที่แห่งนี้ อสูรเงาที่เคยปรากฏต่างหายไปจนหมดสิ้น

    แต่เงาทมิฬยังคงปกคลุมสถานที่ต่าง ๆ ของทวีป ภารกิจของนักเดินทางทั้ง 8 ยังคงไม่เสร็จสมบูรณ์


  • บท อุโมงค์สงบสุข

    นักเดินทางทั้งแปดเดินทางมายังอุโมงค์สงบสุข โบราณสถานทางตะวันออกของอาณาจักรคู อีกครั้งที่รอบบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ปรากฏอสูรเงาทมิฬมากมายนับไม่ถ้วน

    ด้านในมีรูปปั้นของ "ซีลทรีค เทพีแห่งความงาม" "แบรนด์ เทพเจ้าดาบอัสนี" และคบเพลิงที่ดับสนิท รอบนี้ถึงคราของฮิคาริและแอคเนียที่ยกกระจกขึ้นมา กระจกเมฆาซึ่งตอนนี้กลายเป็นกระจกที่ส่องแสงเจิดจ้า สะท้อนภาพในอดีต และเกิดเป็นเสียงชายผู้หนึ่งดังก้องขึ้น

    "มันคือความหวังที่ผลักดันข้า ผลักดันให้ข้ามีชีวิต ผลักดันให้ข้ายังคงดิ้นรน ผลักดันข้าออกจากความตาย...เพื่อชี้นำผู้อื่นในเส้นทางเดียวกัน
    แต่ความหวัง....ความหวังมันคือปัญหา
    ไม่มีสิ่งใดที่คู่ควรจะมีชีวิตอยู่ ในโลกอันอัปลักษณ์โหดร้ายนี้
    ไม่มีรุ่งอรุณใดควรค่าแก่การรอคอย"

    ปรากฏภาพของบุรุษสองคน จ้าวกลยุทธคาซานพญาอินทรีแห่งคู และแม่ทัพอาเกฮา ที่ปรึกษาคนสนิทของมูเก็น อาเกฮาตั้งคำถามต่อคาซานว่าเหตุใดคาซานจึฝทรยศมูเก็น ทั้งที่คาซานนี่แหละที่ยกมูเก็นขึ้นสู่บัลลังก์ คาซานเปิดเผยว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือการได้ครอบครอง "ดาบโลหิตมืด" สมบัติศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลคู คาซานจึงใช้ฮิคาริเป็นเครื่องมือในการจัดการมูเก็น

    "แกเป็นตัวอะไรกันแน่ คาซาน"
    "นานหลายปีแล้วที่ข้าต้องซ่อนเจตนาเอาไว้จากคู นามที่แท้จริงของข้าคือ โอโบโร"
    "ทั้งหมดที่ข้าทำ ก็เพื่อป้องกันกระแสแห่งความมืดที่เฝ้ารอวันพรุ่งนี้ที่จะมายังเรา แต่ด้วยดาบนี้ที่มีพลังของเงาทมิฬหลับไหลอยู่ พลังที่จะดับเปลวเพลิงได้"
    "แต่ก็นะ ไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียสละ..."
    กล่าวจบคาซานก็ใช้ดาบโลหิตมืดดูดกลืนอาเกฮาจนหมดสิ้น
    "ฮิคาริ...ลาก่อนสหายเก่า การสิ้นสุดของโลกใบนี้เรียกหาข้าแล้ว ไม่นานท่านจะได้เห็น..โลกที่ไร้การนองเลือดที่ท่านต้องการ"

    กลับมายังโลกปัจจุบัน เพลิงสีครามถูกจุดขึ้นอีกครั้ง บัดนี้เหลือเพียงการจุดเพลิงสีครามอีกสองแห่งเท่านั้น


  • บท สุสานแห่งอสูรผู้พิทักษ์

    นักเดินทางทั้ง 8 กลับมายังหมู่บ้านมนุษย์สัตว์ มุ่งหน้าสู่สุสานแห่งอสูรผู้พิทักษ์ ทั้งหมดฟันฝ่าเหล่าอสูรเงาทมิฬไปสู่คบเพลิงด้านใน แต่ครานี้ เบื้องหน้าคบเพลิงยืนเฝ้าไว้ด้วยอสูรกายขนาดยักษ์ เป็นอสูรกายวิปลาศรูปร่างคล้ายมังกรโครงกระดูก กางแผ่ปีกอันใหญ่โตเข้าใส่เหล่านักเดินทางทันที

    หลังจัดการอสูรวิปลาศลง ทั้งหมดมุ่งหน้าสู่รูปปั้น "โดห์เทอร์ เทพแห่งความอารี" และ "แดรเฟนดี เทพีแห่งการล่า" ครั้งนี้เป็นแคสตี้และโอเช็ตที่รับหน้าที่จุดเพลิงศักดิ์สิทธิ์ให้กลับมาลูกโชน

    ครั้งนี้ปรากฏภาพนิมิตดวงจันทร์สีแดงเลือด มีอสูรขนาดใหญ่และนักล่าสตรีนางหนึ่ง เป็นนักล่าแห่งความมืดที่เรียกพลังเงาทมิฬเข้าใส่อสูรขนาดใหญ่นั้นจนคลุ้มคลั่งและมีพลังมหาศาล (เนื้อเรื่องของโอเช็ตบทสุดท้าย)

    เพลิงสีครามถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง เหลือเพียงอีกที่เดียวเท่านั้น
    ...
    บท เมืองโบสถ์เพลิง

    เมืองโบสถ์เพลิง สถานที่ที่ว่ากันว่าเป็นบ้านของเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เมืองแรกที่ทีมินอสอาศัยอยู่นั่นเอง ที่นี่เงาทมิฬปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ผู้คนต่างซ่อนกายด้วยความหวาดกลัว

    เมื่อเหล่านักเดินทางทั้ง 8 มาถึง ก็ได้รับการทักทายจากมินท์ สหายนักบวชของเทมินอส ทั้งสองยังคงทักทายด้วยสไตล์แดกดันดังเดิม แต่ครั้งนี้เทมินอสรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง...

    "รู้หรือยังล่ะเทมินอสว่าแท้จริงข้าคือใคร...เอาล่ะข้าจะบอกให้"
    "ยอมจำนนต่อตนเองไม่นำพาสู่สนธยาอันเงียบงัน เพื่อแสงสว่างนั้นจักเลือนราง และไม่นานราตรีกาลจักร่วงหล่น..."

    แท้จริงแล้ว มินท์ คือสตรีลี้ลับนามอาร์คาเน็ต ผู้นำของภาคีเงาจันทรา ผู้สั่งการสังหารหมู่ชาวคาลอย่างเหี้ยมโหด (เนื้อหาในบทของเทมินอส) และเป็นผู้คอยชักใยเบื้องหลังเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย ทั้งความตายของสังฆราช รอย คริก (ที่น่าเศร้าคือ คัลดีน่ายอมทำทุกอย่างเพื่อล้างแค้นภาคีเงาจันทรา แต่กลับถูกชักใยโดยหัวหน้าเงาจันทรา) ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป้าหมายคือการขโมยเพลิงศักดิธิ์สิทธิ์

    เหล่านักเดินทางรู้สึกไม่สมเหตุสมผลเพราะสตรีตรงหน้าช่างดูอ่อนเยาว์ ขณะที่เหตุการณ์สังหารหมู่ชาวคาลเกิดขึ้นมานานหลายสิบปี ไม่ต้องกล่าวถึงภาคีเงาจันทราที่อยู่มานานกว่านั้นมากนัก แต่ในตอนนั้นเอง โทรเน่โจรสาวก็ได้รำลึกถึงชายผู้หนึ่ง คล็อด บิดาแท้ ๆ ของนาง ผู้ซึ่งให้กำเนิดลูกหลานจำนวนนับไม่ถ้วน แม้แต่เซบาสเตียน (คุณพ่อ) ซึ่งเป็นลูกของคล็อดก็ยังมีอายุระดับเป็นพ่อของโทรเน่ได้ แต่คล็อดซึ่งเป็นพ่อแท้ๆ ทั้งของเซบาสเตียนกับโทรเน่ กลับยังดูอ่อนเยาว์เหมือนเดิม (ตรงนี้ในบทซากปรักหักพังเฟลซันได้เฉลยแล้วว่า คล็อดเป็นทายาทของมหาจอมเวทดาเคส และได้ดื่มเลือดของเทพมารวีเด้ตั้งแต่ทารก คล็อดจึงได้รับพรให้ไม่แก่ไม่ตาย)

    "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ราตรีกาลถูกเชื้อเชิญมายังโลกใบนี้ แต่กลับถูกกลุ่มคนน่ารังเกียจเพียงหยิบมือขับไล่มันออกไป เหตุการณ์นั้นจะไม่เกิดซ้ำอีก"

    อาร์คาเน็ตหยิบคทาโลหิตมืดออกมา เหล่านักเดินทางเข้าต่อสู้จนในที่สุดก็เอาชนะนางได้ แต่ก่อนจะล้มลง อาร์คาเน็ตยังคงทิ้งประโยคสุดท้าย

    "ถึงพวกแกจะหยุดฉันได้ แต่ก็หยุดหายนะของโลกนี้ไม่ได้หรอก"
    "และไม่นาน...ราตรีกาล...จักร่วงหล่น"

    เช่นนั้นแล้ว...เงาทมิฬที่ปกคลุมทวีปในตอนนี้ ก็ยังคงไม่ใช่ราตรีกาลที่แท้จริง...
    ...
    นักเดินทางทั้งแปดเดินทางไปยังโบสถ์ใหญ่นอกเมืองเพื่อที่จะจุดเพลิงครามดวงสุดท้าย ระหว่างทางได้พบ "บันทึกการเดินทางของแทนซี่" กล่าวถึงสตรีนางหนึ่งนามแทนซี่ นางมีรักกับออดเนอร์ เพื่อนสมัยเด็ก ทุกอย่างล้วนไปได้สวยจนชายหนุ่มขอนางแต่งงาน แต่เช้าอีกวันแทนซี่กลับพบว่าชายคนรักที่ข้างกายได้ตายแล้ว และนางเป็นคนฆ่าเขาเอง แทนซี่พกความกังวลใจไปที่โบสถ์และได้พบนักบวชสาวผู้หนึ่งซึ่งคอยให้กำลังใจและรับฟังเรื่องของแทนซี่จนหมดสิ้น แทนซี่ตกหลุมรักนักบวชสาวผู้นี้และยินยอมจะทำทุกอย่าง นักบวชสาวขอให้แทนซี่ตามหาเพลิงสีฟ้าจากทั่วมุมโลก นางก็ยอมทำ จนนางกลับมา นักบวชสาวส่งคัมภีร์แห่งราตรีกาลให้นางอ่าน สำหรับแทนซี่แล้วขอเพียงอ่านหนังสือเล่มนี้และได้เห็นรอยยิ้มของนักบวชสาว ก็เป็นความสุขอย่างที่สุดแล้ว..เหตุใดถึงต้องรออรุณรุ่งกันเล่า?

    นักบวชสาวนั้นมีนามว่ามินท์ หรือก็คืออาร์คาเน็ตนั่นเอง
    ...
    นักเดินทางทั้งแปดมาถึงโบสถ์ใหญ่ ที่นี่ทั้งหมดได้พบรูปปั้นสองเทพสุดท้าย "เอเบอร์ เจ้าชายจอมโจร" และ "อัลฟริก ผู้เรียกเพลิง" เป็นหน้าที่ของโทรเน่และเทมินอสที่จะจุดเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้

    ภาพสะท้อนอดีตอีกครั้ง นักบวชสาวมินท์ปลุกสตรีนามแทนซี่ในเวลากลางคืน แทนซี่กลับมาจากการเดินทางตามหาเพลิงสีครามตามคำขอของมินท์
    "ฉันรักเธอนะ แทนซี่" กล่าวจบมีเปลวไฟลุกโชนท่วมตัวของแทนซี่ ร่างแทนซี่เหลือเพียงเถ้าธุลีที่ลอยตามลม พร้อมกับมินท์ที่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง
    ...

    (เพิ่มเติมเผื่อใครลืม แทนซี่คือหนึ่งในสมาชิกละครเร่ของจีเซล มีบทในเนื้อเรื่องแอคเนีย บทที่ 3 และ 5)

 

หลังจากนักเดินทางทั้งแปด จุดเพลิงครามทั้งสี่สำเร็จ คบเพลิงต่างส่องเป็นแสงนำทางไปสู่เกาะแห่งหนึ่งกลางทะเล "วีดาเนีย สนามรบของเหล่าเทพ" เกาะมายาซึ่งมีลักษณะเหมือนนิมิตในฝันของเหล่านักเดินทางไม่ผิดเพี้ยน ตำนานกล่าวว่ามันถูกผนึกไว้บนมหาสมุทรด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์

เหล่านักเดินทางมุ่งหน้าขึ้นบันไดที่ทอดยาวสู่ยอดเขาด้านบน ที่นั่นคาซานหรือก็คือโอโบโร่ยืนรออยู่

"พวกเจ้าค้นหารุ่งอรุณสินะ...ทำไมกันล่ะ?"
"หนทางที่พวกเจ้าก้าวเดินอาบชุ่มด้วยโลหิตของผู้ที่ต่อต้านพวกเจ้า มันคุ้มค่าแล้วรึ?"
"แต่มันไม่สำคัญหรอก ไม่มีความเลวหรือความดีในโลกนี้ มีเพียงสิ่งที่เราเชื่อมั่น บอกฉันให้กระจ่างที รุ่งอรุณนั้นคุ้มค่าที่จะให้พวกเจ้าอดทนหรือ?"

โจรสาวโทรเน่ตอบกลับ
"คู่ควรสิ แต่แค่คำพูดคงไม่อาจหยุดแกได้สินะ เราทั้งคู่ต่างรู้ คำพูดใดๆล้วนไม่จำเป็น"

"การเดินทางของพวกเจ้ากำลังจะจบลงในไม่ช้า และหลังจากนั้น พวกเจ้าจะไปไหนต่อล่ะ? ไม่สำคัญหรอกว่าพวกเจ้าจะไปได้ไกลเพียงใด พวกเจ้าไม่มีทางหนีพ้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ล้วนถูกสาปให้อาศัยในความมืดมิด ทุกหนแห่งต่างมีแต่ความขัดแย้ง โลกนี้มันอัปลักษณ์โหดร้าย ดังนั้น มันควรจบสิ้นไปซะ..."

กล่าวจบโอโบโร่โดดลงสู่หลุมที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟสีม่วง สิ่งก่อสร้างวงกลมคล้ายประตูมิติขนาดใหญ่ปรากฏด้วยจุดสีแดงที่ห่อหุ้มด้วยเปลวไฟสีม่วงดำ เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น

"บัดนี้ ข้าคือความโกลาหล ผู้กลืนกินทุกสรรพชีวิตในโลกหล้า แม้แต่พวกเจ้า เหล่าสิ่งมีชีวิตผู้โง่เขลา ทั้งหมดจะต้องเป็นของข้า!!"
"นักเดินทางทั้งหลาย พวกเจ้าอยู่ที่ใด ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือที่นี่ มีเพียงความว่างเปล่าที่สุมซ้อน ไม่มีสิ่งใดนอกจากความมืดมิด ความมืดมิดอันสงบ ความมืดมิดอันสุขสบาย..."

สิ้นคำปรากฏจอมมารวีเด้ในรูปลักษณ์โครงกระดูกสีขาว มี ดวงไฟสีม่วงอยู่ภายใน นักเดินทางชุดแรกเข้าต่อสู้ศัตรูอย่างกล้าหาญ แต่ขณะที่กำลังได้เปรียบอยู่นั้น วีเด้ใช้พลังความมืดกลืนกินนักเดินทางชุดแรกหายไปในความมืดมิด นักเดินทางชุดที่สองรวมกำลังเข้าต่อต้านจนคุกแห่งความมืดแตกทลาย นักเดินทางชุดแรกหลุดรอดออกมาได้ บัดนี้นักเดินทางทั้งแปดรวมพลังเป็นหนึ่งเดียว ทุ่มกำลังทั้งหมดต่อสู้กับวีเด้ซึ่งบัดนี้กลายอย่างอย่างสมบูรณ์

ในที่สุดการต่อสู้อันโหดร้ายที่สุดตลอดการเดินทางก็ได้จบลง เสียงมารวีเด้ดังก้องขึ้ง
"เหตุใด...พวกเจ้าจึงปฏิเสธการเป็นหนึ่งเดียวกับข้า?"
"นักเดินทางทั้งหลาย...แสงสว่างได้จากไปแล้ว แต่พวกเจ้า...ก็ยังคงต่อต้าน...และพวกเจ้า...ก็ยังคงท้าทาย...เพื่อรุ่งอรุณที่สูญเสียแสงสว่าง "
"จดจำไว้ให้ดี เหล่านักเดินทาง...จงอย่าได้ลืมเลือน...ข้า...เป็นนิรันดร์..."

ความมืดมิดที่บดบังทั่วทั้งโลกค่อยๆจางหายไป แสงสว่างแห่งรุ่งอรุณปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง...

 

นักเดินทางทั้งแปด กลับมาที่แคมป์ที่ทุกคนรวมตัวกันอีกครั้ง ทุกคนล้วนไม่มีผู้ใดต้องการจากลา หากแต่ทุกคนต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเอง ทีละคน...ทีละคน นักเดินทางทั้งแปดค่อย ๆ ร่ำลาพร้อมเดินจากไปทีละคน สิ้นสุดการเดินทางอันยาวนานของแปดนักเดินทางที่โชคชะตานำพาทุกคนมาร่วมทางกัน กระทั่งได้กอบกู้โลกใบนี้ร่วมกัน...
...
ในวันหนึ่ง ณ เมืองเดลสตาร์
บรรยากาศในเมืองครึกครื้นยิ่ง
เหล่านักเดินทางทั้ง 7 กลับมาพบกันอีกครั้งเพื่อรับชมการแสดงครั้งยิ่งใหญ่ขอนเพื่อนนักเดินทางอีกคน...
เหล่าตัวประกอบจากทั่วทุกมุมโลกมารวมกันที่เมืองแห่งนี้ (ไม่เว้นแม้แต่ราชสีห์ขาวจูวาห์)

บัดนี้การแสดงได้เริ่มขึ้น ณ โรงละครประจำเมือง แอคเนียปรากฏตัวพร้อมบทเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวของแปดนักเดินทางผู้ช่วยเหลือโลกใบนี้เอาไว้

"OCTOPATH TRAVELER II"

- จบบริบูรณ์ -

 







CREDIT:

แนวทางการเล่น
WALKTHROUGH/GUIDES

ตัวละคร
Character

ข้อมูลเบื้องต้น
Basic information

ข้อมูลที่น่าสนใจ
ARRTICLE INTERESTING

ความลับ, โกงเกม
Secrets, Cheat Game

เว็บไซต์:ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
RELATED WEBSITES

ดาวน์โหลดเกม
GAME DOWNLOAD