The DioField Chronicle : บทที่ 3-1 มือแห่งการปลดปล่อย
หลังจากทัพจักรวรรดิยึดครองท่าเรือเทกกาเรีย จิตใจของเหล่าชาวอัลเลเทนต่างก็หวาดผวา จึงทำให้ชาวบ้านต่างหันหน้าเข้าหาพระธรรม เอาศาสนาเป็นที่พึ่ง นั่นยิ่งทำให้อิทธิพลของศาสนจักรเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และออกหน้าช่วยเหลือชาวบ้านในเรื่องต่างๆ ทางโบสถ์ได้รับข่าวว่า ทางฝั่งตะวันตกอันทุรกันดาร เกิดพายุทอร์นาโดพัดสู่หมู่บ้านทำให้ชาวบ้านล้มตายเป็นเบือ เด็กๆในหมู่บ้านกลายเป็นเด็กกำพร้า กลุ่มบลูฟอกส์จึงได้รับคำร้องขอจากโบสถ์ให้คุ้มกันคณะนักบวชเพื่อไปรับเหล่าเด็กกำพร้ามาดูแล
ขณะเดียวกัน การเสียชีวิตขององค์ชายใหญ่ไอวานการ์ก็ส่งผลกระทบต่อเกาะดิโอฟิลด์อย่างมาก เมื่อรัชทายาทเสียชีวิตลง วิคเตอร์ เชย์แธม องค์ชายสอง และสตาริส เชย์แธม องค์ชายสาม สององค์ชายต่างหมายปองบัลลังค์และเริ่มสั่งสมกองกำลัง สภาสูงเองก็แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ต่างก็หวังให้องค์ชายที่ตนสนับสนุนได้ขึ้นสืบราชบัลลังค์ แม้ว่าองค์ชายทั้งสองจะไม่มีตราแห่งพรก็ตาม (ตราแห่งพรมีความหมายหนึ่งคือเป็นผู้ถูกเทพเจ้าเลือกสรรของสายเลือดกษัตริย์ โดยธรรมเนียมที่สืบทอดมา องค์ชายที่ไม่มีตราแห่งพรจึงไม่อาจสืบราชบัลลังค์ได้)
สงครามการเมืองแย่งชิงบัลลังค์ครั้งนี้ส่งผลดีต่อฝ่ายจักรวรรดิอย่างยิ่ง เพราะแทนที่ฝ่ายราชวงศ์จะเตรียมแผนยึดท่าเรือคืน แต่กลับตีกันเองเสียอย่างนั้น...
ตัดภาพมาที่ภารกิจของกลุ่มบลูฟ็อกส์ ตัวเอกได้พบกับแคทเธอรีน อัศวินศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์อีกครั้ง โดยแคทเธอรีนจะมาเป็นผู้นำทางให้ เรายังได้พบกับเด็กหนุ่มเอสทาล ยิวแฟร์ นักเวทย์อายุน้อยผู้ผันตัวมาเป็นทหารรับจ้าง กลุ่มตัวเอกพารถม้าฝ่าแดนทุรกันดาร สังหารสัตว์อสูรตามรายทางจนไปปลุกเอาซาลามันเดอร์ จิ้งเหลนไฟยักษ์อันร้ายกาจ แต่ก็สามารถคุ้มกันรถม้าของโบสถ์ไปยังจุดหมายได้สำเร็จ (แถมได้ซาลามันเดอร์มาเป็นผลึกสัตว์อสูรให้เรียกใช้ได้ด้วย)
หลังช่วยเหลือเหล่าเด็กกำพร้าเรียบร้อยแล้ว แคทเธอรีนเข้ามาขอบคุณกลุ่มบลูฟ็อกส์ แต่จู่ๆ อันดริอัสก็พูดออมาลอยๆ
"ช่วยเด็กๆจากนักล่า แล้วส่งไปหาปีศาจรึ หึๆๆ"
"ท่านว่ายังไงนะ?" แคทเธอรีนถาม วัลตาควินจึงกล่าวเสริมว่า
"การทดลองมนุษย์ ทดลองศาสตร์ต้องห้าม สร้างเวทมตร์ที่โหดร้าย..."
"พอเถอะวัลตาควิน เธอไม่มีหลักฐานในเรื่องนี้"
"ก็คงไม่มี แต่มีข่าวลือหนาหูมากมายเกี่ยวกับภารกิจของโบสถ์ ไหนบอกหน่อยสิแคทเธอรีน เธอรู้มั้ยว่าพวกเด็กกำพร้าที่โบสถ์เคยรับไว้ยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า?"
ท่ามกลางคำถามที่ไม่มีคำตอบ แคทเธอรีนขอตัวลาพร้อมความสงสัยที่เกิดขึ้นต่อศาสนจักรที่ตนศรัทธา
ส่วนหนุ่มน้อยเอสทาลก็ประทับใจกลุ่มบลูฟ็อกส์จนขอเข้าร่วม วัลตาควินยังไม่วายหยอกเอสทาลว่า ดีแล้วที่ไม่กลับไปโบสถ์ ไม่เช่นนั้นเด็กที่มีทักษะเวทย์อย่างนี้ได้กลายเป็นเหยื่อทดลองชั้นดีแน่ๆ...
บทที่ 1 เส้นทางของชีวิต
บทที่ 2 ทลายปราการ
บทที่ 3 เถ้าธุลีและเกียรติยศ
บทที่ 4 ความลับที่เก็บไว้อย่างใกล้ชิด
บทที่ 5 ดาราร่วงหล่น เมื่อบลูฟ็อกส์กำจัดดยุคเฮนเด อดีตเจ้านายซึ่งแท้จริงแล้วเป็นกบฏ บลูฟ็อกส์ก็กลายเป็นทัพอิสระที่เข้มแข้งขึ้น แต่ก็ไม่วายต้องเข้าไปพัวพันกับศึกชิงบัลลังค์ระหว่างองค์ชายสองกับองค์ชายสาม เฟเดรทที่ทนไม่ไหวจึงประกาศความจริงที่น่าตกตะลึงให้กับชาวบลูฟ็อกส์ทุกคน ความจริงนี้จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเกาะดิโอฟิลด์ไปตลอดกาล
บทที่ 7 จุดจบและจุดเริ่มต้น (บทสุดท้าย) เฟเดรทโกหกคนทั้งโลกจนได้ขึ้นเป็นราชาสมใจ ทว่าอัลเลเทนที่แตกแยกขัดแย้งรบกันเองมาอย่างยาวนาน ประกอบกับราชาคนใหม่ที่เมื่อขึ้นมามีอำนาจก็ดูจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ด้วยสภาพเช่นนี้จะต้านทานจักรวรรดิอันเกรียงไกรและแม่ทัพใหญ่ผู้ไม่เคยรู้จักความพ่ายแพ้งั้นหรือ? เฟเดรทโกหกคนทั้งโลก แต่ไม่ใช่มีแค่เขาที่โกหก คนที่อยู่กับเรามาตลอดตั้งแต่เริ่ม แต่เรากลับไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย... และเมื่อความจริงทั้งหมดถูกเผยออก ชะตากรรมของโลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล พบกับปัจฉิมบทพงศาวดารแห่งเกาะดิโอฟิลด์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน (จริงๆนานเพราะแปลๆ หยุดๆ) เป็นหนึ่งในฉากจบที่คนรับชมถึงกับต้องสบถออกมา ถ้าไม่ชอบก็เกลียดไปเลย (แต่ผมชอบมากๆ ยกขึ้นหิ้งเลยครับ) ปล. ถ้าใครงงกับฉากจบก็ทักมาครับเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ตอนผมเล่นครั้งแรกก็ถึงกับเหวอ จนต้องไปอ่าน lore เพิ่มถึงได้เข้าใจแบบกระจ่าง |