The DioField Chronicle : บทที่ 7-3 ความปรารถนาอันเร่าร้อน
จักรวรรดิเอาจริงแล้ว ครานี้เอาจริงยิ่งกว่าครั้งใดๆที่เคยมีมา จักรวรรดิยกกองทัพขนาดมหึมาบุกพร้อมกันทางทะเลทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งใต้ ทหารอัลเลเทนส่วนใหญ่ถูกเฟเดรทเกณฑ์ไปในภารกิจล้างบางซากทัพที่ผ่านมาเกือบหมดสิ้น ที่หลงเหลือจึงมิอาจต้านทานทัพจักรวรรดิหลายพันนายได้แม้แต่น้อย ทัพจักรวรรดิที่นำโดยแม่ทัพเซวาเทียนผู้ไร้พ่ายยื่นคำขาดให้ชาวอัลเลเทนยอมพ่ายแพ้ในทันที
อัลเลเทนที่ผ่านสงครามกลางเมืองมาอย่างต่อเนื่องบัดนี้ไม่หลงเหลือกำลังจะต่อต้านทัพจักรวรรดิได้อีกต่อไป เฟเดรทที่เที่เคร่งเครียดปรึกษาอันดริอัสถึงแผนการรับมือ อันดริอัสเสนอแผนการสุดท้าย "กงจื้อถวายเศียร" โดยการให้เฟเดรทเป็นเหยื่อล่อแม่ทัพเซวาเทียน ด้วยการยินยอมลงนามสนธิสัญญาสวามิภักดิ์ต่อจักรวรรดิ ซึ่งในการลงนามครั้งนี้ แน่นอนว่าแม่ทัพเซวาเทียนต้องมาด้วยตนเองแน่นอน แผนครั้งนี้เสี่ยงอย่างถึงที่สุด มันคือการเอาชีวิตกษัตริย์มาเป็นเหยื่อล่อ แต่หากสังหารแม่ทัพเซวาเทียนได้ อัลเลเทนย่อมมีโอกาสพลิกฟื้นในช่วงเวลาที่ทัพจักรวรรดิไร้หัวระส่ำระสายแน่นอน
เฟเดรทไม่มั่นใจในแผนการครั้งนี้แม้แต่น้อย แต่อันดริอัสย้ำว่าเราไม่มีทางเลือกมากนัก อย่างไรก็ตามทั้งหมดอยูที่การตัดสินใจของกษัตริย์อย่างเฟเดรท เฟเดรทจึงตัดสินใจดำเนินแผนการที่อันดริอัสเสนอมา
ระหว่างที่ศูนย์บัญชาการบลูฟ็อกส์ตกอยู่ในบรรยากาศอันอึมครึม สาวแว่นลอเรนจู่ๆก็ถามถึงประวัติของความเป็นมาของอันดริอัส เธออยู่กับบลูฟ็อกส์มาตั้งแต่เริ่มต้น แต่กลับแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอันดริอัสเลย...
อันดริอัสเล่าว่า เขาถือกำเนิดในหมู่บ้ายชายฝั่งเล็กๆทางตะวันออก ตั้งแต่เขายังเด็กหมู่บ้านก็ถูกกลุ่มโจรเผาทำลาย ชนชั้นสูงผู้หนึ่งช่วยเหลืออันดริอัสเอาไว้ เขาจึงมีโอกาสได้ร่ำเรียนทักษะเวทย์และการต่อสู้ จนกระทั่งกลายมาเป็นมหาดเล็กข้างกายขององค์ชายเลวานเทีย อันดริอันไม่ได้บอกไว้ว่าชนชั้นสูงที่ช่วยเหลือเขาไว้เป็นใคร เพียงบอกว่าเป็นชนชั้นสูงธรรมดาๆไม่จำเป็นต้องเอ่ยนาม (แน่นอนว่าเขาไม่ยินยอมบอก)
และแล้ววันแห่งการตัดสินก็มาถึง ชะตากรรมของอาณาจักรอัลเลเทนขึ้นอยู่กับแผนการในครั้งนี้ ไม่มีที่ว่างให้ความล้มเหลว อันดริอัสทบทวนแผนการในครั้งนี้อีกครั้ง โดยการลงนามจะจัดขึ้น ณ ปราสาทโรเซเลียแม่ทัพเซวาเทียนจะมาด้วยตนเอง เฟเดรทจะต้องหลอกล่อให้เซวาเทียนเดินลึกเข้ามาด้านในเขตปราสาทให้มากที่สุด จากนั้นจะสั่งระเบิดสะพานเพื่อตัดขาดเซวาเทียนกับกองทหารติดตาม นั่นจะเป็นโอกาสเดียวที่จะรุมสังหารแม่ทัพเซวาเทียนได้ จากนั้นทหารอัลเลเทนที่ซุ่มซ่อนตัวจะกลุ้มรุมโจมตีศัตรูที่หลงเหลือ
ลอเรนเอ่ยชมแผนอันแยบยลนี้ ทว่าก็กังวลว่าบริเวณโดยรอบโดยเฉพาะชาวเมืองจะโดนลูกหลง เฟเดรทตัดบทว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการสังหารแม่ทัพเซวาเทียนให้ได้ อื่นใดจากนั้นการเสียสละก็เป็นสิ่งจำเป็น ลอเรนตกใเพราะไม่คิดว่าเฟเดรทจะพูดประโยคเหล่านี้ออกมาได้ เฟเดรทย้ำว่าตนได้ตัดสินใจแล้ว เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกันอีก ไปได้แล้ว ลอเรนได้แต่รับคำแล้วเดินออกไป
อันดริอัสเองก็ขอตัวออกไปเตรียมการ แต่เฟเดรทได้กล่าวรั้งเอาไว้
"การกลับคฤหาสถ์เลสเตอร์ในครั้งนี้ ช่างเป็นการรำลึกความหลังจริงๆ"
"ฉันก็เหมือนกัน"
"กลับไปครั้งนี้ทำให้ฉันสงสัย ฉันยังเป็นคนเดิมเหมือนวันนั้นหรือเปล่า?"
"นายไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก ยังคงเป็นเฟเดรทเลสเตอร์คนเดิมที่ฉันรู้จัก"
...
ณ ปราสาทโรเซเลีย
แม่ทัพเซวาเทียนเดินนำหน้ากองทหารจักรวรรดิที่ตามมาอย่างเป็นระเบียบ เมื่อก้าวพ้นประตูใหญ่ก็กล่าวทักทาย (เชิงเสียดสี) กับเฟเดรทที่ยืนคอยอยู่ เฟเดรทตอบกลับด้วยการยกมือให้สัญญาณทันที
"ระเบิดประตู!!"
เสียงระเบิดดังสนั่น ประตูขนาดยักษ์ด้านหลังแม่ทัพเซวาเทียนถูกแรงระเบิดถล่มทลาย ทว่าแม่ทัพเซวาเทียนยังคงนิ่งสงบ เขายกยิ้มพร้อมชูมือสั่งการเรือเหาะเหนือน่านฟ้านับสิบลำ พร้อมเหล่านักรบไวเวิร์นที่บินทะยานเข้ามาสมทบ
"ฆ่าพวกมันให้หมด อย่างที่เราวางแผนเอาไว้"
ฉากสังหารดำเนินขึ้นทันที ที่แท้ฝ่ายจักรวรรดิเองก็วางแผนมาเช่นกัน เฟเดรทถึงกับสบถด่าทอว่าสมแล้วที่จักรวรรดิถูกก่อตั้งขึ้นมาจากโจร สันดานโจรก็ยังเป็นโจรอยู่วันยังค่ำ ทางเซวาเทียนก็ไม่น้อยหน้า ทั้งสองปะทะฝีปากกันอย่างเมามัน ทหารสองฝั่งเข้าประหัตประหารอย่างบ้าคลั่ง บลูฟ็อกส์พิชิตเหล่าทหารและนักรบไวเวิร์นลงได้ แต่ยังไม่ทันได้ยินดีก็ปรากฏนักรบยักษ์ทิ้งตัวลงมาจากเรือเหาะ กำลังหนุนทัพจักรวรรดิจากทางอากาศกองแล้วกองเล่ายังคงโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากสังหารศัตรูที่มาประหนึ่งไม่หมดสิ้นลง ในที่สุดแม่ทัพเซวาเทียนก็ควบขี่มังกรไวเวิร์นมาด้วยตนเอง สมกับที่เป็นลาสบอส เซวาเทียนแข็งแกร่งยิ่งกว่าศัตรูทุกตัวที่เคยพบเจอมา แถมยังเรียกกำลังเสริมมาได้แบบไม่จำกัด (แต่ไม่สู้เราที่ฟาร์มมาอย่างดี ของก็ครบได้หรอก 555) และแล้ว บลูฟ็อกส์ก็สามารถสอนแม่ทัพเซวาเทียนให้รู้จักความพ่ายแพ้ได้ในที่สุด...
เซวาเทียนที่พ่ายแพ้หลบหนีเข้าไปยังปราสาท เฟเดรทสั่งการให้ทุกคนไล่ตามไปในทันที เซวาเทียนหนีตายอย่างไม่คิดชีวิตจึงว่องไวเป็นพิเศษ สุดท้ายคงเหลือแต่เฟเดรทกับอันดริอัสที่ไล่ตามไปทัน ทั้งสองกลุ้มรุมเซวาเทียนที่หนีโซซัดโซเซไปจนถึงห้องโถงปราสาท เฟเดรทเปิดอัลติกระโจนเข้าโจมตีทางอากาศในขณะที่อันดริอัสอาศัยความเร็ววิ่งมาดักหน้า เซวาเทียนชักปืนขึ้นหมายจะยิงแต่ก็ช้าเกินไป ในชั่วพริบตาอันดริอัสคว้ามีดคู่กายแทงเข้ากลางหน้าอกเซวาเทียนทันที เซวาเทียนทรุดลงก่อนจะพยายามคว้าขาอันดริอัสไว้ เขาเงยหน้าจ้องมองอันดริอัสด้วยความตกใจพร้อมกล่าวว่า
"แก...นี่มันหมายความว่ายังไง..."
อันดริอัสนิ่งเงียบ เขาเพียงก้มลงมองลมหายใจสุดท้ายของแม่ทัพผู้นี้ค่อยๆหมดลงอย่างช้าๆ
ภาพค่อยๆตัดไปที่มโนภาพของอันดริอัส
...
"ความทรงจำทั้งหลายเริ่มไหลทะลักไปสู่วันนั้นที่ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น ความทรงจำในช่วงเวลาก่อนที่ข้าจะเป็นอันดริอัส รอนดาร์ซัน
ความทรงจำที่ข้าตื่นกลัวในตอนที่บิดามารดาของข้าถูกฆ่าเยี่ยงสัตว์
และขณะที่ข้าถูกปกคลุมไปด้วยเลือดของพวกเขา ชายผู้นั้นหันกลับมาจับจ้องยังตัวข้า"
...เราจะเอาตัวเด็กไป...
"ชายคนนั้น ชายผู้น่ารังเกียจคนนั้น...เซวาเทียน ชูเกล
ปณิธานแรกที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นในชีวิตของข้าคือการบดขยี้มัน คือการทำลายมันให้ถึงที่สุด
ข้าถูกนำตัวไปยังจักรวรรดิและกลายเป็นอันดริอัส รอนดาร์ซัน ทั้งหมดที่ข้าจำได้หลังจากนั้นคือการฝึกฝนและการเรียนรู้อย่างไม่มีหยุดพัก
และในวันหนึ่ง ข้าถูกเรียกตัวไปโดยชายผู้มีฐานะสูงส่ง แต่ปราศจากซึ่งความอบอุ่นที่มนุษย์พึงมี เขายื่นมือออกมาแล้วกล่าวกับข้าว่า..."
...ทางเดียวที่เจ้าจะบรรลุเป้าหมายได้คือพลานุภาพ...
...โลกใบนี้จะถูกช่วยเหลือก็ต่อเมื่อผู้ชอบธรรมมีพลังอำนาจเท่านั้น...
"จิตของข้าย้อนกลับไปยังสายตาที่จ้องมองในวันนั้นทันที และการตกลงใจของข้าก็กลายเป็นแน่วแน่ไม่สั่นคลอน
ข้าจะต้องบรรลุปณิธานของข้าขณะที่ยึดมั่นความจริงเอาไว้ในความเชื่อ
และไม่นานหลังจากนั้น ข้าก็ถูกแต่งตั้งให้กลายเป็นมหาดเล็กติดตามขององค์ชายลำดับที่สี่แห่งอัลเลเทน เลวานเธีย เชย์แธม
เมื่อได้พบเลวานเธีย ข้าก็ได้ค้นพบเป้าหมายใหม่ของข้า คือการมอบพลังให้แก่ผู้ที่จะใช้มันอย่างถูกต้อง
ทว่าในท้ายที่สุด ข้าก็ล้มเหลวในการปกป้องเขา
เมื่อเลวานเธียจากไป ข้าจึงกลับไปจดจ่อกับเป้าหมายแรก
กำจัดเซวาเทียน ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
และในตอนนี้ ข้าก็จะเติมเต็มอย่างที่สอง...สิ่งที่ข้ากำลังจะทำ ณ บัดนี้..."
...
กลับมายังสถานการณ์ปัจจุบัน อันดริอัสก้มลงสัมผัสกับปืนประจำตัวของเซวาเทียน ขณะนั้นเฟเดรทก็เดินเข้ามา
"เราทำไแล้ว ริอัส"
"ริอัส เกิดอะไรขึ้น มันจบแล้วใข่มั้ย?"
"ใช่ มันจบแล้ว เฟรด..."
ฉับพลันอันดริอัสก็หันกลับมาหยิบปืนขึ้นเบื้องหน้าเฟเดรททันที
และเสียงปืนก็ดังขึ้น...
...
..
.
ณ ศูนย์บัญชาการบลูฟ็อกส์ที่ว่างเปล่า อันดริอัสเดินเข้ามาเพียงลำพังด้วยชุดคลุมตัวใหม่
เป็นชุดคลุมแบบเดียวกับเซวาเธียน
เป็นชุดคลุมของแม่ทัพจักรวรรดิ..
...
...อวสาน..
บทที่ 1 เส้นทางของชีวิต
บทที่ 2 ทลายปราการ
บทที่ 3 เถ้าธุลีและเกียรติยศ
บทที่ 4 ความลับที่เก็บไว้อย่างใกล้ชิด
บทที่ 5 ดาราร่วงหล่น เมื่อบลูฟ็อกส์กำจัดดยุคเฮนเด อดีตเจ้านายซึ่งแท้จริงแล้วเป็นกบฏ บลูฟ็อกส์ก็กลายเป็นทัพอิสระที่เข้มแข้งขึ้น แต่ก็ไม่วายต้องเข้าไปพัวพันกับศึกชิงบัลลังค์ระหว่างองค์ชายสองกับองค์ชายสาม เฟเดรทที่ทนไม่ไหวจึงประกาศความจริงที่น่าตกตะลึงให้กับชาวบลูฟ็อกส์ทุกคน ความจริงนี้จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเกาะดิโอฟิลด์ไปตลอดกาล
บทที่ 7 จุดจบและจุดเริ่มต้น (บทสุดท้าย) เฟเดรทโกหกคนทั้งโลกจนได้ขึ้นเป็นราชาสมใจ ทว่าอัลเลเทนที่แตกแยกขัดแย้งรบกันเองมาอย่างยาวนาน ประกอบกับราชาคนใหม่ที่เมื่อขึ้นมามีอำนาจก็ดูจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ด้วยสภาพเช่นนี้จะต้านทานจักรวรรดิอันเกรียงไกรและแม่ทัพใหญ่ผู้ไม่เคยรู้จักความพ่ายแพ้งั้นหรือ? เฟเดรทโกหกคนทั้งโลก แต่ไม่ใช่มีแค่เขาที่โกหก คนที่อยู่กับเรามาตลอดตั้งแต่เริ่ม แต่เรากลับไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย... และเมื่อความจริงทั้งหมดถูกเผยออก ชะตากรรมของโลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล พบกับปัจฉิมบทพงศาวดารแห่งเกาะดิโอฟิลด์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน (จริงๆนานเพราะแปลๆ หยุดๆ) เป็นหนึ่งในฉากจบที่คนรับชมถึงกับต้องสบถออกมา ถ้าไม่ชอบก็เกลียดไปเลย (แต่ผมชอบมากๆ ยกขึ้นหิ้งเลยครับ) ปล. ถ้าใครงงกับฉากจบก็ทักมาครับเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ตอนผมเล่นครั้งแรกก็ถึงกับเหวอ จนต้องไปอ่าน lore เพิ่มถึงได้เข้าใจแบบกระจ่าง |